นิกายเซน หนังสือ "คำสอนเซน ภาคเซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"-บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน

บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน
ท่านโพธิธรรมหรือที่ชาวจีนในยุคนั้น
เรียกท่านว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
ท่านเป็นพระภิกษุผู้มีดวงตากลมใหญ่ผิวสีดำคล้ำ
และด้วยเอกลักษณ์ของท่านเวลาที่ท่านเดินทางไปไหนมาไหน
เมื่อถึงคราวต้องตากแดดที่มีสภาพร้อนจัด
ท่านจึงมักจะเอาชายจีวรที่อยู่เบื้องล่างขึ้นมาคลุมศีรษะ
เพราะฉะนั้นภาพวาดส่วนใหญ่ที่ศิลปินผู้มีเซนอยู่ในสายเลือด
ได้วาดขึ้นเพื่อเป็นภาพประกอบโกอานไขปริศนาธรรม
หรือวาดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ สื่อความหมายไปในทางธรรมนั้น
ก็จะปรากฏเป็นภาพของปรมาจารย์ตั๊กม้อที่มีร่างกายสูงใหญ่
และมีหนวดเครารุงรัง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมีการวาดภาพโดยมีผ้าคลุมศีรษะ
และอยู่ในท่านั่งสมาธิหันหน้าเข้ากำแพงเสียเป็นส่วนใหญ่
เหตุที่ทำให้ท่านโพธิธรรมตั๊กม้อได้นั่งอยู่ในฌานสมาธิถึงเก้าปีเต็มนั้น
เป็นเพราะวาระกรรมได้แสดงถึงเนื้อหากรรม ให้เป็นไปในภาวะที่ยืดเยื้อ
และเป็นไปในระหว่างบุคคลสองคนที่มีกรรมต่อกัน ทั้งในด้านกุศลและกรรมวิบาก
และเป็นวาระกรรมที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการเริ่มต้นนับ "หนึ่ง"
ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่ได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วอย่างแท้จริง
สมดั่งเจตนารมณ์ในการที่ท่านโพธิธรรมได้มาเหยียบแผ่นดินจีนในครั้งนี้
เหตุเพราะท่านได้พบลูกศิษย์คนสำคัญของท่าน
ซึ่งลูกศิษย์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวที่เข้าใจท่าน
และสามารถรับการถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาติ
เป็นทายาทที่แท้จริงในการสืบต่อธรรม ด้วยการผ่านสู่ "ใจต่อใจ"
ระหว่างครูกับศิษย์ และเป็นเหตุให้ธรรมนั้นได้สืบต่อกันไปจนเป็นที่แพร่หลาย
ยอมรับกันอย่างทั่วไปภายในแผ่นดินจีนตอนใต้หลังจากนั้น
แต่ด้วยเหตุปัจจัยเป็นกุศลกรรมอันสำคัญยิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นจากกรรมวิบากนั้น
ก็
หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เดินทางออกมาจากพระราชวัง
ในคราวที่ท่านได้รับกิจนิมนต์เพื่อไปเทศนาธรรมให้องค์จักรพรรดิฟัง
ท่านก็ออกเดินทางรอนแรมไปเรื่อย
หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทให้กับลูกศิษย์เป็นพระรูปหนึ่งที่ชื่อ เชง ฟุ
ท่านโพธิธรรมก็ได้พำนักพักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง
เป็นระยะเวลานานนับสิบปี และภายในปี พ.ศ. 496
จักรพรรดิก็ได้รับสั่งให้สร้างวัด เพื่อถวายเป็นราชกุศลขึ้น
เป็นการก่อสร้างที่อยู่ติดกับบริเวณภูเขาซ่งที่อยู่ทางเมืองโหหนาน
ซึ่งเมืองนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองโลหยางซึ่งเป็นเมืองหลวง
วัดนี้องค์จักรพรรดิสร้างขึ้นเพื่อให้นักบวชพระภิกษุสงฆ์ในนิกายเซน
เข้ามาพักอาศัยเพื่อเป็นที่หลบลี้และได้ขัดเกลาจิตใจของตนเอง
วัดแห่งนี้นี่เองที่ชื่อว่า "วัดเส้าหลิน"
เป็นวัดซึ่งท่านโพธิธรรมได้มาสอนการฝึกออกกำลังกายแบบโยคะ
ให้แก่ภิกษุในภายหลังที่ท่านได้ออกจากสมาบัติแล้ว
เมื่อท่านโพธิธรรม
ได้ทราบข่าวว่าวัดเส้าหลินได้สร้างเสร็จแล้ว
และเป็นวัดที่มีความสวยงามอยู่กลางหุบเขา
และบริเวณเทือกเขาเหล่านั้นเป็นที่สงบวิเวก
เหมาะสำหรับการปลีกตัวออกจากหมู่คณะเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญภาวนา
ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางมายังบริเวณหุบเขาแห่งนี้
เพื่อหาที่สงบพักผ่อนใจให้กับตนเอง แต่ในระหว่างทางก่อนถึงแม่น้ำแยงซี
เพื่อจะข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งหุบเขาเฉาฉือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาซ่ง
ท่านก็ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่ง
ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมทายาทเพื่อสืบสายโลหิตแห่งเซน ภิกษุรูปนี้มีชื่อว่า
"เสินกวง" ท่านเสินกวงเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ท่านโพธิธรรมได้แวะพักอาศัย
ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจุดหมาย เสินกวงเป็นพระที่มีความจดจำพระสูตรได้แม่นยำ
และเป็นนักเทศนาธรรมตัวยงในแถบนั้นโดยหามีใครเทียบไม่
ก็ในขณะนั้นเป็นวันที่ท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึง
และท่านเสินกวงกำลังขึ้นเทศน์ธรรม
ให้แก่สาธุชนผู้มีศรัทธาได้ฟังกันภายในหอประชุมบริเวณวัด
ท่านเสินกวงถึงแม้จะมีสัญญาความจำได้หมายรู้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ท่านก็ยังมิใช่เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง
ท่านเสินกวงมีความสามารถอ่านอธิบายธรรมในพระสูตรได้
แต่ท่านเสินกวงกลับไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจตระหนักชัด
ในธรรมที่ท่านกำลังสาธยายเลย
เมื่อท่านเสินกวงได้เทศนาธรรมจบแล้วจึงเดินลงมาจากพระธรรมาสน์
เพื่อพูดคุยกับอาคันตุกะภิกษุแปลกหน้าผู้มาเยือนในเช้าของวันนั้น
แต่การพูดคุยกลับกลายเป็นเหตุให้ท่านเสินกวง
ได้ทำร้ายร่างกายพระอาคันตุกะซึ่งมาจากเมืองปัลลวะอินเดียรูปนี้
โดยการสนทนาธรรมนั้น ท่านโพธิธรรมได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า
ท่านเสินกวงถึงแม้จะเป็นพระนักเทศน์ ที่สามารถเทศนาธรรมได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย
เพราะท่านโพธิธรรมได้นั่งฟังธรรมเทศนาอยู่ด้วย
โดยท่านได้นั่งอยู่แถวหลังสุดและได้ฟังธรรมเทศนานั้น
จนทำให้ท่านรู้ได้ด้วยเนื้อหาธรรมที่ถูกเทศน์ออกมาในขณะนั้นว่า
ท่านเสินกวงยังไม่ได้ตระหนักชัดรู้แจ้งภายในธรรมชาติดั้งเดิมแท้เลย
เมื่อท่านได้พูดออกไปแบบนี้อย่างตรงๆไม่อ้อมค้อม
ก็เป็นเหตุให้ท่านเสินกวงเกิดโทสะ
เอาสายลูกประคำเม็ดใหญ่ฟาดเข้าไปที่ปากของท่านโพธิธรรม
จนเป็นเหตุให้เลือดไหลออกมากลบปาก และฟันด้านหน้าของท่านหักออกไปถึงสองซี่
เมื่อเหตุการณ์ซึ่งเป็นกรรมวิบากได้เกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว
ท่านโพธิธรรมจึงหันหลังออกไปจากที่นั่นไปโดยมิได้กล่าวลา
แต่หลังจาก
นั้นด้วยความสำนึกผิดของท่านเสินกวง
ในการล่วงละเมิดประทุษร้ายพระอาคันตุกะผู้มีปัญญา
และด้วยความที่ทราบต่อมาภายหลังว่าพระอินเดียรูปนั้น
ก็คือท่านพระอาจารย์โพธิธรรมซึ่งเดินทางมาจากเมืองปัลลวะ
เพื่อเข้ามาเผยแผ่ธรรมอันคือคำสอนตามธรรมชาติที่แท้จริง
ให้แก่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ท่านเสินกวงจึงรู้สึกเสียใจในการกระทำของตน
และท่านเสินกวงมีเจตนาที่จะกราบขอขมาลาโทษ
และมีความตั้งใจจริงที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน
และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะดูแลรับใช้ท่านโพธิธรรม
จนตราบที่ท่านโพธิธรรมจะหมดลมหายใจละจากโลกใบนี้ไป
ท่านเสินกวงเมื่อรู้สึกตัวและมีความละอายใจ
จึงรีบเดินทางออกตามหาท่านโพธิธรรม
เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางจนมา
ถึงริมฝั่งแม่น้ำแยงซี แต่ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
เรือข้ามฝากไปฝั่งโน้นก็หามีไม่ ท่านโพธิธรรมจึงได้หยิบต้นอ้อมากำหนึ่ง
และเหยียบอ้อกำนั้นข้ามฝั่งไป ก็ด้วยน้ำหนักคนมีน้ำหนักมาก
หากเหยียบไปบนต้นอ้อซึ่งมีน้ำหนักเบา
ต้นอ้อก็ต้องจมน้ำไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาของท่านโพธิธรรม
ท่านสามารถเหยียบขึ้นยืนบนต้นอ้อกำนั้นและไม่ตกจมลงไปในน้ำ
ด้วยฤทธิ์แห่งอภิญญาที่ท่านสำเร็จ
ก็ในขณะที่ท่านกำลังอยู่กลางแม่น้ำแยงซีด้วยอำนาจจิตที่ยิ่งใหญ่
ท่านเสินกวงจึงได้เดินทางมาถึงพอดี
และท่านเสินกวงได้เห็นอภินิหารของท่านโพธิธรรมแล้ว
จึงก้มหน้าร้องไห้ในความสำนึกผิดแห่งตน
และท่านเสินกวงจึงหาทางข้างฝั่งแม่น้ำแยงซี
ด้วยการมัดหญ้าคากำใหญ่และพยุงลอยตัวเอง
จนข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย
และเร่งรีบติดตามท่านโพธิธรรมไปอย่างไม่ลดละ
เมื่อท่านโพธิธรรมได้
เดินทางมาถึงเทือกเขาซ่ง แถวบริเวณหมู่บ้านลั่วหยางซึ่งอยู่ใกล้วัดเส้าหลิน
ท่านโพธิธรรมจึงได้เข้าพักอาศัย ณ
ถ้ำซึ่งมีความเป็นธรรมชาติแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถวบริเวณหลังวัด
และท่านก็ตัดสินใจนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติ โดยนั่งหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ
และตัดสินใจที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีกำหนดออกเลย
ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเก้าปีโดยไม่ไหวติง
มันเป็นระยะเวลานานมากจนกระทั่ง
เงาร่างที่ถูกแสงแดดสาดส่องเข้ามาอยู่ตลอดเวลานั้น
มันทาบลงไปบนฝาผนังและฝังรอยเป็นเงาอยู่อย่างนั้น
ตราบจนสามารถเห็นได้จนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกมันว่า
"ผนังเงาศิลา"
ท่านเสินกวงเมื่อได้ติดตามท่านโพธิธรรมมา
และได้สอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น
จึงได้รู้ว่าท่านโพธิธรรมได้หลบหนีผู้คนเข้าไปนั่งสมาธิในฌานแล้ว
เมื่อเสินกวงตามไปพบและรอคอยท่านโพธิธรรม เพื่อให้ออกมาจากฌานสมาบัติ
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างเนิ่นนานก็ไม่มีวี่แวว
ว่าท่านโพธิธรรมจะลุกขึ้นมาจากจุดที่ท่านนั่ง
เสินกวงจึงตัดสินใจที่จะรับใช้ดูแลท่านโพธิธรรม อยู่ ณ ภายในถ้ำนั้น
โดยท่านเสินกวงมีหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดภายในบริเวณถ้ำ
และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้ว
ท่านเสินกวงก็จะออกมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าถ้ำ
โดยท่านเสินกวงจะนั่งตั้งแต่เช้าไปจนจรดเย็นและค่ำมืด
ท่านเสินกวงจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ทุกวัน
เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษต่อท่านโพธิธรรม
และเพื่อรอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนรู้ธรรมอันแท้จริงกับท่าน
และ
แล้วความพยายามของท่านเสินกวงก็ประสพความสำเร็จ
ด้วยระยะเวลาแห่งการรอคอยมันผ่านพ้นมานานถึงเก้าปีเต็มๆ
ก็ช่วงสายในวันหนึ่งของวันที่ 29 ปีไท่เหอที่สิบ
ในขณะที่ภิกษุเสินกวงได้ทำความสะอาดถ้ำและฉันอาหารเสร็จแล้ว
จึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำ ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของกลางฤดูหนาว
ที่มีหิมะโปรยปรายตกลงมาปกคลุมเต็มอยู่หน้าถ้ำ
แต่ท่านเสินกวงก็นั่งอยู่ตรงหน้าถ้ำนั้นมิได้ลุกหนีไปไหน
จนหิมะมันได้ท่วมขึ้นมาจนถึงหัวเข่า
และแล้วตรงปากถ้ำก็ได้ปรากฏกายของท่านโพธิธรรม
ผู้ซึ่งพึ่งออกจากฌานสมาบัติที่ตนได้นั่งเข้าสมาธิแบบลืมวันลืมปี
เมื่อท่านโพธิธรรมได้เห็นท่านเสินกวง
ผู้ซึ่งเคยทำร้ายร่างกายท่านจนฟันหักถึงสองซี่
ท่านจึงเกิดความสงสารที่เห็นพระรูปนี้มานั่งตากหิมะอยู่หน้าถ้ำ
ท่านจึงถามเสินกวงไปว่า
"เธอมานั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยมีความต้องการอะไร"
เมื่อท่านเสินกวงได้ยินเสียงท่านโพธิธรรมกล่าวดังนั้น
ก็มีความปีติยินดีและได้ก้มกราบขอขมาลาโทษ ในการกระทำไม่ดีไม่ควรของตน
และก็เอ่ยปากขอร้องให้ท่านโพธิธรรมรับตนเป็นศิษย์
ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นจึงได้พูดตอบท่านเสินกวงไป
ด้วยความที่จะทดสอบความเด็ดเดี่ยว
ในความตั้งมั่นแห่งศรัทธาที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม
ท่านจึงบอกภิกษุเสินกวงไปว่า "ให้นั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป
จนกว่าหิมะที่อยู่ต่อหน้ากองนี้จะกลายจากสีขาวเป็นสีแดง"
แต่การทดสอบความมีศรัทธาในหัวใจแห่งพุทธะของเสินกวง
กลับไปกระตุ้นอนุสัยซึ่งเป็นเนื้อหาสะสมกรรมวิบากของเสินกวงในอดีตที่มีต่อ
ท่านโพธิธรรมครั้งในอดีตชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน
ออกมาให้ได้ชดใช้กรรมกันในขณะนั้น
โดยเมื่อเสินกวงได้ฟังท่านโพธิธรรมพูดออกมาดังนั้น
กรรมวิบากจึงดลให้ท่านเสินกวงเกิดความหุนหันพลันแล่น
คว้าไปหยิบมีดผ่าฟืนซึ่งมีความคมกริบนั้นขึ้นมา
เฉือนมือข้างซ้ายของตนจนขาดวิ่น และท่านก็ได้หยิบแขนซ้ายของตนข้างนั้น
ที่ตกลงอยู่กับพื้นส่งให้ท่านโพธิธรรม
โดยท่านเสินกวงได้กล่าวขึ้นระคนไปด้วยความเจ็บปวดว่า
"ท่านพระอาจารย์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย
เพราะบัดนี้กองหิมะกองนี้มันได้กลายเป็นสีแดงหมดแล้ว"
ก็เพราะด้วยการตัดแขนของเสินกวงซึ่งมีเจตนา
จะทำให้เลือดของตนชะล้างความเป็นสีขาวของหิมะออกไปให้หมด
เพราะความที่มันถูกกลบไปด้วยความเป็นสีแดงแห่งเลือดตน
ที่หลั่งรินไหลออกมานองพื้นเป็นสีแดงฉานไปทั่วบริเวณนั้น
มันเป็นเลือดแห่งความเป็นพุทธะ
ที่มันพุ่งออกมาจากสายเลือดแห่งความใฝ่ดีของท่าน
ที่บ่มเพาะตัวเองด้วยความมีขันติอย่างยิ่ง
ในการรอคอยเพื่อก้าวข้ามไปสู่ประตูดินแดน "ธรรมชาติแห่งพุทธะ"
ถึงเก้าปีเต็มๆ
เป็นการรอคอยที่ใช้ความอดทนด้วยความสิ้นหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา
เลือดทุกหยดนี้มันจึงเป็นเลือดทุกหยดแห่งเซน
ที่มันจะทาบทาไปทั่วผืนแผ่นดินจีน
ด้วยเหตุปัจจัยอันเกิดจากภิกษุเสินกวงรูปนี้นั่นเอง
เมื่อท่านโพธิ
ธรรมได้ยื่นมือรับแขนของเสินกวง และรับท่านเสินกวงเป็นศิษย์แล้ว
ท่านจึงช่วยทำแผลห้ามเลือดให้
ในขณะที่กำลังทำแผลนั้นท่านเสินกวงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
จึงร้องขึ้นมาอย่างดังว่า "พระอาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์มีความเจ็บปวดมาก
ศิษย์จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว จงโปรดช่วยให้ศิษย์เกิดความสงบด้วย"
ในขณะนั้นท่านโพธิธรรมจึงหยุดการทำแผล แล้วพูดกับท่านเสินกวงขึ้นมาว่า
"เสินกวง เธอจงเอาจิตของเธอออกมาสิ จิตอันเจ็บปวดนั้น
แล้วฉันจะทำให้มันสงบ"
เสินกวงได้ฟังดังนั้นจึงได้บรรลุธรรมรู้แจ้งชัดในเวลานั้นเอง
เพราะแท้จริงจิตมันไม่มีตัวตน
และไม่สามารถเอาออกมาแสดงให้กับท่านโพธิธรรมได้
หลังจากเสินกวงได้ทำแผลเสร็จ
ท่านโพธิธรรมจึงได้ถ่ายทอดอธิบายธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง
และในคืนนั้นเองด้วยวิถีแห่งความเป็นธรรมชาตินี้
จึงได้ถูกส่งตรงมายังภิกษุเสินกวง
ด้วยความบริบูรณ์พรั่งพร้อมในธรรมชาติของมัน
ด้วยโพธิปัญญาแห่งภิกษุ
เสินกวง คือความเป็นเซนในสายเลือด ที่มาพร้อมกับกรรมวิบากที่ต้องใช้คืน
แขนซ้ายที่ขาดวิ่นพร้อมกับเลือดที่หลั่งริน คือ "บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน"
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น