บทที่ 32 จิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า
ความว่างเปล่าไร้ความหมาย
แห่งความเป็นตัวเป็นตนนี้ 
มันเป็นความว่างเปล่าตามธรรมชาติของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที 
มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น 
แต่ถ้าพวกคุณไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของธรรมชาติเหล่านี้ 
และพวกคุณมีความพยายามดิ้นรนจะหลุดออกจากทิฐิเดิมของคุณ 
แต่พวกคุณกลับไม่เข้าใจทิฐิตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ อันคือสัมมาทิฐินี้
 ด้วยความไม่รู้ต่อความเป็นจริง และด้วย "ความดิ้นรน" ที่โดยเนื้อหามันเอง 
ก็คือ ตัณหา อุปาทาน ความอยากที่จะเป็นพุทธะขึ้นมาตามที่คุณต้องการ 
ด้วยความไม่รู้นั้นมันจึงพาให้คุณแสวงหาพุทธะในหนทางอื่นๆ 
อันเป็นหนทางที่มิใช่ทางธรรมชาติ 
แต่ความพยายามดิ้นรนด้วยวิธีที่พวกคุณเห็นว่ามันน่าจะใช่ 
และพวกคุณก็ได้ปักใจไปแล้วว่านี่คือหนทางอันคือวิธีที่แท้จริง 
ที่จะทำให้ความเป็นพุทธะมันเกิดขึ้นตามที่คุณคิดคาดหวัง 
คุณจึงได้รีบลงมือปฏิบัติ และเรียกมันอย่างสวยหรูว่า "ความเพียรพยายาม" 
อย่างแรงกล้า ด้วยหัวใจแห่งพุทธะอันจอมปลอมของคุณเอง 
และพวกคุณก็เฝ้าติดตามผลแห่งการที่คุณได้ปฏิบัติธรรมไป 
ว่าสิ่งที่คุณลงแรงไปนั้นมันให้ผลกลับมามากน้อยแค่ไหน 
ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมที่คุณเห็นว่า "มันมีสิ่งสิ่งนี้อยู่" 
และสิ่งที่คุณเห็นว่ามีนั้น "ความมีนั้นมันไม่เที่ยงดับไป" 
และความดับไปสิ้นไปในแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่คุณทำได้นั้นปฏิบัติได้นั้น 
มันกลายเป็นความว่างเปล่าขึ้นมาตามที่คุณรู้สึกได้ หรือตามที่คุณคาดการณ์ไป
 ด้วยการที่พวกคุณได้ชั่งความมีความเป็นแห่งมันในใจแล้วว่า 
คุณได้ปฏิบัติโดยเอาความมีความเป็นแห่งมันออกไปเรื่อยๆ 
ตามที่คุณได้ทำความเพียรไป และด้วยผลแห่งการปฏิบัติที่พวกคุณคิดว่าใช่ 
และมันเป็นผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริงที่ทำให้ 
ความมีตัวมีตนของพวกคุณเบาบางลงไป 
โดยที่พวกคุณได้ตรึงผลแห่งการปฏิบัติของคุณ ไว้กับความว่างเปล่า 
ตามที่คุณได้ชั่งมันไว้อยู่ทุกขณะ และคุณก็ภูมิใจในความว่างเปล่านั้น
แต่
ความเป็นจริงตามธรรมชาติ ความว่างเปล่าอันแท้จริง 
มันเกิดจากความเข้าใจในความหมายแห่งธรรมชาติ 
ว่าแท้ที่จริงธรรมชาติมันคือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว 
ความว่างเปล่าที่พวกคุณภาคภูมิใจว่า มันคือการปฏิบัติธรรมของพวกคุณเอง 
แท้ที่จริงมันคือความว่างเปล่าจากการคาดคะเนของพวกคุณเองเท่านั้น 
มันเป็นความว่างเปล่าตามจิตนาการของพวกคุณเองแต่เพียงเท่านั้น 
มันมิใช่ความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ตามสภาพที่แท้จริงของมันแต่อย่างใด 
มันจึงเป็นเพียง "ความว่างเปล่าตามความรู้สึก" 
มันเป็นเพียงความว่างเปล่าที่เป็นภาวะปรุงแต่งเกิดเป็นจิตขึ้นมา 
มันเป็นจิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า มันมิใช่ความว่างเปล่าตามธรรมชาติ 
ซึ่งเป็นความว่างเปล่าที่แท้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แต่อย่างใดเลย
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น