
บทที่ 36 พุทธะคือหน้าที่
คน
ที่ไม่มีศรัทธาที่จะมาในทางธรรมชาติแห่งพุทธะ เป็นคนที่ยึดอยู่ในมิจฉาทิฐิ
เปรียบเหมือนคนตาบอดที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นแสงสว่างที่แท้จริงเลย
ถึงท่านจะอธิบายเรื่องความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะให้เขาฟัง
แต่เมื่อเขาเหล่านี้ขาดศรัทธาแล้ว เขาจึงเปรียบเสมือนคนตาบอด
ที่จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเห็นแสงนั้นได้
ถึงจะอธิบายก็ไม่มีใจที่จะยอมรับฟังเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงนี้
พวกเขาเหมือนคนมีกรรมที่มีเหตุและปัจจัย
มาทำให้พวกเขาหันหลังให้กับธรรมชาติอันคือความจริงได้อย่างถาวร
พวกเขาเหล่านี้จะต้องทนก้มหน้ารับกรรมที่พวกเขาได้กระทำไป
อันเกิดจากทิฐิที่ผิดๆของพวกเขาทั้งหลาย
บุคคลเหล่านี้ย่อมใช้ชีวิตไปด้วยความเป็นทาสแก่การกระทำของตนเอง
หาความมีอิสระที่แท้จริงไม่ ความมีอิสระที่แท้จริงย่อมปรากฏแก่
ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั่นเอง
แต่เขาเหล่านี้ได้ทำเหตุและปัจจัยอันทำให้พวกเขา
ไม่มีวันได้พบหนทางที่จะนำพาพวกเขาไปสู่สถานที่ที่มีแสงสว่างได้เลย
เมื่อขาดศรัทธาเขาเหล่านี้จึงเป็นเพียงคนตาบอด ที่บอดอย่างถาวรแล้วเท่านั้น
แต่บุคคลที่เห็นธรรมชาติของตนเองด้วยความมีศรัทธาเชื่อมั่น
ต่อความจริงในความเป็นพุทธะ บุคคลพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปโกนหัวห่มผ้าเหลือง
พวกเขาไม่ว่าจะอยู่ฐานะไหนประกอบอาชีพอะไร
ก็ในเมื่อใจของพวกเขาเป็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว เมื่อเขาคือพุทธะ
พุทธะก็คือพวกเขา เขาอยู่ที่ไหนพุทธะก็อยู่ที่นั่น
แต่คนที่ยังไม่เห็นความจริงของธรรมชาติ แล้วไปโกนหัวนุ่งห่มผ้าเหลือง
พวกนี้เป็นเพียงพวกที่คลั่งไคล้หลงใหลความเป็นพุทธะ
ในรูปแบบความเป็นอยู่ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก
ความเป็นพุทธะที่แท้จริงมิได้ต้องอาศัยอะไรกับอะไรเลย
แต่ความเข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ
นั่นก็คือพุทธะแล้ว
เป็นเพียงเพราะเราเข้าไปยึดการปรากฏขึ้นแห่งภาวะ
เป็นการเข้าไปยึดติดในรูปกาย
จึงเกิดภาวะเคลื่อนไหวไปในทางทวิภาวะแห่งความเป็นคู่ เช่น ร้อนเย็น
หิวกระหายและอิ่ม จึงเกิดเป็นมลทินแห่งตัณหา อุปาทาน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ในความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งพุทธะ
ธรรมชาตินั้นมันบริสุทธิ์โดยตัวมันเอง
มันเป็นความบริสุทธิ์โดยพื้นฐานแห่งความเป็นไปตามธรรมธาตุ
มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจมีใครเข้ามาทำให้มันเศร้าหมองลงไปได้เลย
มันเป็นความบริสุทธิ์มาแต่เดิมของมัน
มันเป็นธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์ที่ปราศจากการเคลื่อนไหว
ไปในทิศทางใดแห่งความมีตัวมีตนทั้งสิ้น ธรรมชาติมันจึงไม่หิวไม่อิ่ม
ไม่อุ่นไม่เย็น ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่รักไม่ชัง ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่สุขไม่ทุกข์
จริงๆแล้วธรรมชาติมันไม่มีอะไรเลย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น
เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนตามธรรมชาติ
เราจึงเรียกความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยของมันว่า "ความบริสุทธิ์"
คือความที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
ปราศจากสิ่งอื่นเข้ามาเจือปนปะปนกับมันได้
นี่คือความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติแห่งพุทธะ
เมื่อท่านเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว
ท่านปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามหน้าที่ของมัน
ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ของมันตามความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น
ท่านก็จะพ้นจากการเกิดและการตาย
ท่านก็จะเป็นอิสระเป็นนายเหนือความต้องการของตนเอง
ซึ่งธรรมชาติแห่งพุทธะที่ท่านได้พบนี้
มันคือธรรมชาติแห่งความสงบสุขในทุกหนทุกแห่ง
เป็นชีวิตที่มีความสุขอิสระอย่างแท้จริง
จงปล่อยให้ธรรมชาติมันทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น
นั่นแหละท่านคือพุทธะแล้ว
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ” “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น