| 
 
บทที่ 21 ธรรมชาติยังคงอยู่
 สรรพ
สัตว์ทั้งหลาย การมาสู่ด้วยความยินดีของท่านในภพชาติ 
แท้ที่จริงมันเป็นการมาเพื่อที่จะต้องจากไปอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว 
มันเป็นการมาที่ถูกตรึงไปด้วย "เหตุและผล" เหตุและผลแห่งการที่จะต้องมาๆไปๆ
 ไปๆมาๆ บนเส้นทางที่ไม่มีจุดจบแห่งการถูกบังคับพาไป ในเนื้อหาแห่งการ 
"ต้องเกิด" ด้วยอำนาจแห่งอวิชชาแต่เพียงเท่านั้น 
การดำรงอยู่ด้วยความเกี่ยวพันอยู่ตลอดเวลาแห่งความมีความเป็น 
มันจึงถูกบรรจุซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติความรู้สึกต่างๆ 
ในความเป็นไปแห่งการดำรงชีวิต ที่เรียกมันว่า "ประสบการณ์" 
ความทุกข์ที่ได้รับก็ล้วนแต่ไม่เคยมีใครสักคน 
เข็ดหลาบในรสชาติความร้อนรนแห่งมัน 
เพราะด้วยความทะยานอยากอย่างมากมายในใจแห่งมนุษย์เป็นที่ตั้ง 
ความมุ่งหวังเหล่านี้จึงกลบหน้าตาอันแท้จริงของธรรมชาติไป 
ความทุกข์จึงเป็นครูสอนปุถุชนผู้มืดบอดได้แต่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น 
ทุกชีวิตล้วนแต่มีความตายรออยู่เบื้องหน้า 
อันเป็นจุดสุดท้ายในภพนั้นๆอยู่เสมอ 
เมื่อกระบอกม่านตาจะต้องปิดลงเป็นครั้งสุดท้าย 
ในปลายทางเส้นชัยแห่งความตายนั่นเอง ความมืดมิดในดวงตาของท่าน 
มันทำให้ไม่รู้ความจริงเลยว่า ในความตายที่กำลังจะมาเยือน 
ในความหมายของชีวิตที่กำลังจะถูกพลัดพรากไป แท้ที่จริงแล้ว ในความตาย 
"ชีวิตที่แท้จริง" ก็ยังคงอยู่
 
 ในบางครั้งในบางขณะ 
การได้ถอนหายใจแรงๆให้กับตนเองสักเฮือกหนึ่ง เพื่อหาพื้นที่แห่งเสี้ยวเวลา 
ปลดปล่อยใจตนเองออกจากความรู้สึกตรงนั้น 
มันบ่งบอกได้ว่าชีวิตนี้ได้ตกระกำลำบากมามากแล้วเพียงไหน 
ความถูกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ถูกบีบคั้น 
ที่มีสาเหตุมาจากมุมมองในชีวิตแห่งตน 
ได้มองผิดไปจากความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ 
อสัจธรรมซึ่งคือธรรมอันไม่ใช่ความจริงทั้งหลาย 
ที่เราหลงเป็นเนื้อหาเดียวกับมันอย่างไม่ตั้งใจ "ความไม่จริง" 
ที่เรามองว่ามันเป็นความจริงแท้ จึงทำให้เราหลงติดกับดัก 
เข้าไปยื้อแย่งความจริงอันเป็นสิ่งลวงนั้นมาเป็นของเราอยู่อย่างนั้น 
ก็ในความที่มันหามีตัวมีตนไม่ 
ซึ่งมันตกอยู่ในสภาพที่จะต้องพลัดพรากจากเราไปอยู่เสมอๆ 
ความเหนื่อยล้าที่จับฉวยคว้าเอาสิ่งที่ไม่เคยมีตัวมีตนอย่างแท้จริง 
ซึ่งมันไม่มีวันที่จะอยู่กับเราไปได้ตลอดเลย 
ความพยายามในความล้มเหลวที่รออยู่ในผลของมันเองอยู่แล้วนั้น 
ก็อาจทำให้เราหมดกำลังใจในการที่จะใช้ชีวิตต่อไป 
ด้วยความท้อแท้ที่จะพยายามเติมเต็มชีวิตของตนให้ได้ตามที่มุ่งหวัง 
ก็อยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในความปรากฏแห่งอสัจนั้น 
สัจจะความเป็นจริงก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หนีหายจากเราไปไหนเลย
 
 ในความมืด
 อันดำดิ่งจมลึกลงไปในห้วงแห่ง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก 
ที่เราไม่รู้และเลือกเอามาเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของเรา 
การก้าวเดินไปแต่ละก้าว 
จึงเป็นการก้าวเดินที่ปราศจากความมุ่งหมายในทุกทิศทาง เมื่อมืดจนมองไม่เห็น
 มันจึงเป็นการก้าวไปที่อาจจะทำให้เรา ก้าวไปเพื่อกลับมาสู่จุดจุดเดิม 
ที่เราพึ่งก้าวออกมาจากมัน 
เป็นจุดต้องทนอยู่ด้วยความทุกข์ใจด้วยความโง่เขลา 
ขาดความมีปัญญาเข้าไปแก้ไขให้กับชีวิตของตนเองอย่างแท้จริง 
การวนเวียนที่พาให้เรากลับมาสู่ความรู้สึกเดิมๆแบบซ้ำๆอยู่อย่างนั้น 
มันจึงเป็นความเบื่อหน่ายที่ต้องทนรับความรู้สึกนั้นไว้ 
และโยนมันออกไปจากใจเราก็ไม่ได้ ก็จงอย่าพึ่งท้อแท้ใจ 
เพราะความเป็นจริงตามธรรมชาติ ในความมืดมิดแห่งหัวใจ 
ก็ยังคงมีแสงสว่างแห่งปัญญา ที่ยังฉายแสงเจิดจ้าของมันอยู่อย่างนั้น 
มันรอเพียงให้เราหยิบไขว่คว้ามันมา เป็นกระบอกไฟฉายที่สามารถส่องทิศทาง 
ให้เราก้าวเดินไปในหนทางที่ถูกต้อง และเป็นจุดหมายปลายทางอันแท้จริง 
ที่มนุษย์ทุกคนต้องทำหน้าที่แห่งตน ก้าวไปยังจุดนั้นอยู่แล้ว
 
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น