บทที่ 39 นิพพาน
นิพพานหมายถึงความไม่เกิดและไม่ตาย 
มันเป็นธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือ 
การต้องไปเกิดและการที่จำพรากจากไปด้วยความตาย 
และมันอยู่นอกเหนือการปรากฏการณ์แห่งภาวะนิพพานที่เกิดขึ้น 
เพราะการเข้าไปยึดภาวะแห่งการหลุดพ้น เมื่อจิตหยุดการเคลื่อนไหวไป 
ในทิศทางแห่งความหมายที่เป็นตัวเป็นตนแห่งจิต 
จิตนั้นก็กลายเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่มีแต่ความว่างเปล่า 
นิพพานก็คือธรรมชาติแห่งจิตนี้ โมหะไม่ได้อยู่ที่ใด 
พระพุทธเจ้าก็เข้าสู่นิพพานที่จิตอันเป็นธรรมชาติของท่าน 
ความทุกข์โดยสภาพของมันไม่มีที่ตั้ง 
ถึงพยายามจะตั้งให้มันเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น 
โดยธรรมชาติแล้วมันก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ 
เมื่อความทุกข์โดยธรรมชาติแล้วตั้งอยู่ไม่ได้ 
มันคงเป็นเพียงแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า 
พระโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้ธรรมรู้แจ้งชัดในความตั้งอยู่ไม่ได้ ณ ที่นั้น
สถาน
ที่ที่ไม่น่าอยู่มีความอึดอัดคับแคบ คือสถานที่แห่งภพทั้งสาม ในความโลภ 
โกรธ หลง เมื่อมีความปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็เข้าไปอยู่ในภพทั้งสาม 
เมื่อรู้แจ้งและเข้าถึงธรรมอันเป็นธรรมชาติ ก็สามารถออกมาจากภพทั้งสามได้ 
การเริ่มหรือการอยู่กับภพทั้งสามก็ขึ้นอยู่กับจิต 
จิตนี้ย่อมเข้าถึงได้ทุกสรรพสิ่ง ใครก็ตามที่รู้ว่า 
จิตมันเป็นเพียงมายาแห่งภาวะที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆ 
จึงเป็นผู้รู้ว่าจิตนี้คือธรรมชาติแห่งความว่าง 
แต่ปุถุชนผู้ปกคลุมไปด้วยจิตของตนที่เป็นภาวะแห่งการปรุงแต่ง จึงชอบอ้างว่า
 "จิตมีอยู่" แต่โพธิสัตว์ทั้งหลายและพระพุทธเจ้า 
รู้แจ้งชัดถึงการไม่ปรุงแต่งและการปรุงแต่งเป็นจิต 
ซึ่งหมายถึงมิใช่การไม่มีอยู่ของจิตหรือการมีอยู่ของจิต 
มันมิใช่ความหมายทั้งสองนี้ในเรื่องการมีหรือไม่มี 
แต่มันเป็นเพียงธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น 
มันไม่ใช่เป็นเรื่องของจิต และมันไม่ใช่การเป็นเรื่องความมีหรือไม่มีจิต 
แต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น 
มันจึงเป็นทางสายกลางอย่างแท้จริง 
มันเป็นกลางนอกเหนือความมีอยู่หรือไม่มีอยู่
ถ้าท่านศึกษาความเป็น
จริงแห่งธรรมชาติอันคือสัจจะ โดยไม่ใช้จิตมาเกี่ยวข้อง 
ท่านก็สามารถเข้าถึงความเป็นจริงอันคือสัจจะ และความเป็นจริงแห่งจิตได้ 
บุคคลผู้มืดบอดไม่มีปัญญาอันแท้จริงย่อมไม่เข้าใจสัมมาทิฐิ 
บุคคลผู้มีปัญญาอันแจ้งชัดย่อมเข้าใจในสัมมาทิฐิ 
บุคคลที่รู้ว่าธรรมชาติและจิตเป็นสิ่งเดียวกันมาตั้งแต่ต้น 
รู้ว่าแท้จริงจิตคือธรรมชาติที่มันว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น 
ก็คือบุคคลที่ได้ปัญญาแห่งความเป็นพุทธะแล้ว 
คนเหล่านี้ย่อมอยู่เหนือภาวะแห่ง 
การมีอยู่แห่งปัญญาญาณและการไม่มีอยู่แห่งปัญญาญาณ 
นั่นคือความเป็นสายกลางแห่งสัมมาทิฐิ
เมื่อได้ดำเนินไปในทางสายกลาง 
รูปจึงมิใช่รูป เพราะรูปมีความเสมอภาคกับธรรมชาติแห่งจิต 
จิตและรูปเป็นเพียงเหตุได้อาศัยซึ่งกันและกัน 
มันจึงมิใช่ความหมายแห่งการมีรูปและมีจิต 
มันจึงมิใช่เป็นการเกิดขึ้นแห่งการมีอยู่ของการที่รูปกับจิตได้อาศัยกัน 
ทางสายกลางจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น 
มิได้เกี่ยวกับอะไรและอะไรระหว่างรูปกับจิต
ก็ด้วยความเป็นจริงตาม
ธรรมชาติซึ่งเป็นสัจจะนี้ มันเป็นเพียงธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น 
มิได้เกี่ยวกับจะต้องมีสิ่งใดเห็นและจะต้องมีสิ่งใดถูกเห็น 
ธรรมชาติมิใช่การได้เห็นและต้องเห็นภาวะที่เกิดขึ้น 
ธรรมชาติมันย่อมแจ่มแจ้งไปโดยรอบ โดยความเป็นตัวมันเองแห่งธรรมชาติ 
โดยไม่ต้องใช้ความมุ่งเน้นในการดูการเห็น เพราะการดูการเห็นโดยมุ่งเน้นนี้ 
มันทำให้เกิดภาวะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น 
เป็นเพียงการได้เห็นได้ดูได้ทัศนาแห่งปุถุชนภาวะแต่เพียงเท่านั้น 
มันมิใช่การเห็น "ตามความเป็นจริง" แต่อย่างใด
จิตและโลกมันอยู่ตรง
ข้ามกันเสมอ การรู้เห็นด้วยความเป็น"จิต" 
ที่ทำให้ความหมายแห่งความเป็นโลกเกิดขึ้น 
เป็นการรู้เห็นเกิดจากการพบเห็นโดยใช้จิตเพ่งมองดู 
แต่เมื่อโลกและจิตทั้งสองมีความเสมอภาคแจ่มแจ้งเท่ากัน 
จึงเป็นการใช้จิตตามธรรมชาติมองดูโลกนี้ตามความเป็นจริง 
จึงเป็นการเห็นแบบสัมมาทิฐิ การมองไม่เห็นสิ่งใดๆ คือการเข้าใจมรรค 
การไม่เข้าใจสิ่งใดๆเลย คือการเข้าใจธรรมะ 
เพราะการเห็นที่แท้จริงมิใช่การมองเห็นหรือการมองไม่เห็น 
และการเข้าใจที่แท้จริงมิใช่การเข้าใจแล้วหรือยังมิได้เข้าใจ 
การเข้าใจโดยที่มิต้องอาศัยการเข้าใจ 
การเข้าใจจึงเป็นการเข้าใจตามความเป็นจริง 
การเห็นตามความเป็นจริงมิใช่เป็นการเห็นแต่เพียงเท่านั้น 
แต่มันเป็นการเห็นตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นโดยมิต้องใช้วิธีดู 
และสัมมาทิฐิมันมิใช่เป็นการเห็นด้วยสติปัญญาแต่เพียงเท่านั้น 
แต่มันเป็นการเห็นตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น 
เมื่อท่านได้เป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมชาตินั้นแล้ว 
จึงมิใช่เป็นเรื่องของความเข้าใจและความไม่เข้าใจ 
ความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติมันมิใช่ความเข้าใจในภาวะที่เกิดขึ้น
เมื่อ
ท่านเข้าใจความเป็นจริงตามธรรมชาติ ความจริงนั้นก็อาศัยท่าน 
เมื่อท่านยังไม่เข้าใจในความเป็นจริง ท่านก็อาศัยความเป็นจริงนั้น 
เมื่อความเป็นจริงอาศัยท่านด้วยความไม่มีอะไรแตกต่าง 
ระหว่างท่านกับความจริงนั้น สิ่งที่ไม่จริงนั้นก็กลายเป็นจริงตามธรรมชาติ 
แต่เมื่อท่านต้องอาศัยความเป็นจริง 
สิ่งที่จริงตามธรรมชาติของมันก็กลายเป็นเท็จในสายตาท่าน 
ทุกสรรพสิ่งก็เป็นจริงตามเนื้อหาของมัน 
ที่เป็นอยู่อย่างนั้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ดังนั้นผู้รู้ทั้งหลายจึงไม่
ใช้จิตของตนค้นหาสัจธรรม เพราะจิตนั้นโดยความเป็น "จิต" ของมันเอง 
มันคือภาวะแห่งการเคลื่อนไหวไป โดยมิได้ทำให้เกิดความจริงขึ้นมาแต่อย่างใด 
และความจริงซึ่งคือธรรมชาติก็มิได้ทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ 
แม้กระทั่งการเกิดขึ้นแห่งจิต 
ดังนั้นผู้รู้ทั้งหลายจึงใช้สัจธรรมค้นหาสัจธรรม 
ใครก็ตามที่รู้ว่าแท้จริงตามธรรมชาติ ย่อมไม่มีอะไรกับอะไรอาศัยซึ่งกันได้ 
ผู้นั้นย่อมเข้าถึงมรรค ใครก็ตามที่รู้ว่า "จิต" 
นี้ย่อมเป็นจิตอยู่อย่างนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับความเป็นอะไร 
เขาผู้นั้นย่อมพบเส้นทางแห่งการรู้ชัดแจ้งในธรรมชาติอยู่เสมอ
เมื่อ
ท่านไม่เข้าใจ ท่านก็ผิด ผิดไปจากความเป็นจริง เมื่อท่านเข้าใจท่านก็ไม่ผิด
 เป็นความเข้าใจตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น 
เพราะความผิดทั้งหลายมันเป็นของว่างเปล่า 
เสมอกันในบรรดาแห่งความผิดเหล่านั้น เมื่อท่านไม่เข้าใจ 
ต่อให้ท่านใช้ความพยายามอีกสักเท่าใด 
ความที่มันถูกอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน 
ก็กลับกลายมาเป็นผิดตามความไม่เข้าใจของท่าน 
และเมื่อท่านเข้าใจมันแล้วความผิดก็มิใช่ความผิดอีกต่อไป 
มันก็คงมีแต่ความถูกตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
ที่ท่านเข้าใจมันอยู่อย่างนั้น ก็เพราะด้วยความเป็นจริง "ความผิด" 
ย่อมไม่มีอยู่จริง
พระสูตรกล่าวว่า 
"ไม่มีธรรมชาติที่เป็นตัวของมันเองได้เลย 
มันคงมีแต่ธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ในความเป็นจริงแห่งความว่างเปล่า" 
เมื่อท่านยังหลงไปในความเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน 
อายตนะทั้งหกและขันธ์ทั้งห้าย่อมสร้างความทุกข์ 
และการเกิดการตายให้แก่ท่านได้อยู่ทุกเมื่อ 
แต่เมื่อท่านได้มีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่เสมอ 
อายตนะทั้งหกและขันธ์ทั้งห้าก็เป็นเพียงเหตุปัจจัย 
ที่ท่านได้อาศัยเพื่อความเป็นเสมอภาคในธรรมชาติ 
ที่คงอยู่กับท่านอยู่อย่างนั้น คนที่พบมรรคเดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง 
ย่อมรู้ว่าธรรมชาติแห่งจิตตนนั้นคือมรรค 
เมื่อเขาพบกับจิตชนิดนี้เขากลับไม่พบอะไรในความเป็นจริงนั้น 
เมื่อเขาได้เดินไปบนหนทางแห่งความไม่มีอะไรในมรรคนั้น 
เขากลับพบความเป็นจริงในทุกย่างก้าวที่ได้ก้าวไป 
ถ้าท่านยังคิดว่ามรรคนั้นเกิดจากการใช้จิตค้นหา 
ท่านก็ยังดำเนินไปในทางที่ผิดอยู่ เพราะมรรคนั้นเป็นการทำความเข้าใจ 
ในความเป็นจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว 
เพราะฉะนั้นมรรคจึงไม่ใช่การค้นหาและต้องใช้อะไรค้นหา ถึงท่านจะหลงทางไป 
แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นยังคงอยู่ 
เมื่อท่านมีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้ 
ถึงความที่ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ความหลงก็จะหายไป 
ความเป็นมรรคที่แท้จริงก็จะปรากฏอยู่ต่อหน้า 
ต่อให้ท่านใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะค้นหามรรค 
จนลมหายใจท่านหยุดและร่างกายแตกดับ แต่เมื่อท่านหยุดการดิ้นรนค้นหา 
ในมายาแห่งมรรคนั้น มรรคนั้นก็จะกลับมาเป็นมรรคตามความเป็นจริงแห่งมัน 
จงปลดเปลื้องความคิดทุกความคิด อันเกี่ยวกับมรรคและธรรมทุกชนิดออกเสีย 
แล้วหันหน้ามาเผชิญต่อความเป็นจริงแล้ว 
ตามที่มันเป็นอยู่ของมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว
การเห็นรูปแต่ธรรมชาติ
แห่งจิตไม่เศร้าหมองเพราะรูปนั้น การได้ยินด้วยธรรมชาติแห่งจิตนั้น 
ชื่อว่าเป็นการดำรงชีวิตอยู่ด้วยจิตหลุดพ้น 
อันคือความเป็นไปในความเป็นธรรมชาติของจิตนั้นนั่นเอง ตา 
ที่มองเห็นด้วยความเป็นธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่า เซน หู 
ที่ได้ยินด้วยความเป็นธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่า เซน เช่นกัน 
กล่าวโดยสรุปบุคคลที่ยอมรับว่าชีวิตตนคือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น ชื่อว่า 
จิตอันหลุดพ้นเพราะความเป็นธรรมชาตินั้น 
เมื่อท่านมองดูรูปด้วยความเป็นธรรมชาติของจิต รูปก็ไม่ขึ้นต่อจิต 
และจิตก็ไม่ขึ้นต่อรูป ทั้งรูปและจิตนี้ต่างก็บริสุทธิ์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
เมื่อ
ปราศจากโมหะ จิตก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะ เมื่อโมหะมี 
จิตก็คือจิตแห่งการยึดมั่นถือมั่น 
อวิชชาสร้างความหลงและให้จิตสร้างภพชาติให้เกิดขึ้น 
ปุถุชนจึงหลงไปเกิดในดินแดนแห่งการเกิดการตายนับไม่ถ้วน 
พระโพธิสัตว์ได้รู้แจ้งแทงตลอดถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุ 
ท่านจึงเลือกที่จะอยู่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น
ถ้า
ท่านไม่ใช้จิตปรุงแต่ง 
จิตโดยธรรมชาติมันนั้นมันคือธรรมชาติแห่งความหยุดนิ่ง 
ปราศจากความเคลื่อนไหวปรุงแต่งใดๆกลายเป็นจิตต่างๆนานา 
จิตมันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น มันจึงชื่อได้ว่า 
ธรรมชาติแห่งการหยุดนิ่งภายใน เมื่อท่านหลงไปปรุงแต่งจนเกิดเป็นภาวะแห่งจิต
 ท่านก็จะหลงไปทำกรรมดีกรรมชั่ว ต้องไปเกิดในนรก ในสวรรค์
กายไม่ใช่
สิ่งที่มีอยู่หรือไม่มีอยู่ แต่กายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความเสมอภาค 
ในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น อัตตาเป็นทรัพย์ของปุถุชน 
อนัตตาเป็นอริยทรัพย์ของบัณฑิต 
เมื่อท่านได้ทำความเข้าใจรู้จักความเป็นธรรมชาติ 
ความเป็นอนัตตาคือธรรมชาติแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น 
มันก็เป็นญาณที่ดีที่ทำให้ท่านเข้าถึงความเป็นธรรมชาตินั้นๆ 
โดยไม่ต้องทำอะไรลงไปอีกเลย 
เมื่อจิตเข้าถึงนิพพานอันคือธรรมชาติที่แท้จริงแห่งจิต 
ท่านก็จะไม่เห็นนิพพานในลักษณะเป็นภาวะนิพพานที่มันเกิดขึ้น 
แต่ถ้าท่านเห็นนิพพานด้วยความเป็นจิตแห่งภาวะที่เกิดขึ้น 
ท่านก็กำลังหลงตัวเอง
ความทุกข์ยากคือเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ 
ความทุกข์เป็นสัจธรรมความเป็นจริง 
ที่เข้ามากระตุ้นให้ปุถุชนใช้ปัญญาพิจารณา ถึงธรรมชาติแห่งทุกข์นั้น
แต่
ท่านอาจคิดไปว่า ทุกข์ทำให้พุทธะภาวะเกิดขึ้น 
แต่ไม่อาจกล่าวว่าทุกข์เป็นพุทธะภาวะ แต่ความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
ทุกข์และพุทธะต่างก็เป็นเพียงเหตุและปัจจัย 
อาศัยซึ่งกันและกันแต่เพียงเท่านั้น ทุกข์และพุทธะต่างก็มีความเสมอภาคกัน 
ด้วยความเป็นเนื้อหาเดียวกันในความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้น 
กายและจิตของท่านเปรียบเสมือนดั่งท้องทุ่งนา ทุกข์คือเมล็ดพืช 
ปัญญาคือต้นกล้า พุทธะคือเมล็ดข้าว อุปมาอีกอย่างหนึ่ง 
จิตอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นเปรียบเสมือนกลิ่นหอมในไม้ 
พุทธะเกิดจากธรรมชาติแห่งจิตที่มีความเป็นอิสระอยู่อย่างนั้น 
มันเป็นเหตุให้อาศัยซึ่งกันและกันในความเป็นธรรมชาตินั้น 
ถ้ามีกลิ่นหอมโดยปราศจากไม้ ก็เป็นกลิ่นหอมที่ประหลาด 
ถ้าเป็นพุทธะโดยปราศจากธรรมชาติแห่งจิต ก็เป็นพุทธะที่ประหลาดเช่นกัน
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น