บทที่ 33 ค้นหาตัวเอง
ทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏเป็นภาวะในสามภพ
และรวมทั้งความเป็นสามภพของตัวมันเองนั้นด้วย ล้วนเกิดจากต้นตอแห่งจิต
แต่แท้จริงแล้วจิตย่อมไม่มี
ทุกสรรพสิ่งนั้นคือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น
ดังนั้นพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายย่อมสอนธรรมด้วย "จิตสู่จิต"
ด้วยความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงปราศจากรูปแบบและวิธีใดๆ
"ถ้าไม่ใช่
รูปแบบตายตัวแล้ว ความเป็นพระพุทธเจ้าเหล่านั้นจะใช้จิตด้วยวิธีใดๆ"
"ก็สิ่งที่ท่านถามมานั่นเอง นั่นแหละคือจิตของท่าน"
"และสิ่งที่ฉันตอบท่านไปก็คือจิตของฉัน"
"ถ้าฉันไม่คิดแล้วฉันจะตอบได้อย่างไร"
"ถ้าท่านไม่คิดแล้วท่านจะถามได้อย่างไร" "สิ่งที่ท่านถามก็คือความคิด
ก็คือจิตของท่าน" อันเป็นความจริงตามธรรมชาติแล้ว จิตย่อมไม่ใช่จิต
จิตท่านย่อมหาความเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงของมันนั้นหามีไม่
ตลอด
ระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นกัปเป็นกัลป์ ท่านจะทำสิ่งใดก็ตามจะอยู่ในภพไหนก็ตาม
สิ่งนั้นก็คือจิตของท่าน และจิตนั้นก็ไม่แตกต่างไปเลยจากความเป็นพุทธะ
ท่านกล่าวไว้ว่า ก็นอกเหนือจากจิตของท่านนี้แล้ว
ท่านจะค้นพบพระพุทธเจ้าจากที่อื่นไม่มีเลย
จิตของท่านนั่นเองคือความเป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อท่านรู้ว่าจิตมันย่อมไม่ใช่จิต
เมื่อท่านรู้ว่าจิตแท้จริงมันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า
การแสวงหาโพธินอกไปจากธรรมชาตินี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
การไม่ปรากฏขึ้นด้วยความเป็นจิตตามความเป็นจริงแห่งท่าน
มันก็คือธรรมชาติในความเป็นท่านเอง
เป็นธรรมชาติแห่งความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างท่านกับธรรมชาตินั้น
ในความหมายแห่งความว่างเปล่า
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความเป็นธรรมชาตินั้นมันมีอยู่แล้วเองในจิตของท่าน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะไม่สามารถค้นพบความเป็นพุทธะ
จากที่อื่นได้เลยนอกจากจิตของท่าน
(จิตที่ไม่ใช่จิตและจิตนี้คือความเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว)
การพยายาม
ค้นหาพุทธะภาวะให้แก่ตนเอง หรือการพยายามหาทางเพื่อบรรลุธรรม
มันก็เหมือนพยายามจับฉวยเอาอากาศนั้น
ให้มันเกิดเป็นสิ่งสิ่งหนึ่งขึ้นและยึดฉวยมันเอาเข้ามาไว้ในมือได้แล้ว
แต่สภาพความเป็นจริง อากาศก็คือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น
ท่านไม่สามารถจับฉวยเอาอะไรขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนได้เลย
ก็มันเป็นอากาศที่มันว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว
จะต้องดำริริเริ่มเพื่อให้มันเกิดอะไรขึ้นมาอีก
ก็พระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติของท่าน
แล้วท่านจะค้นหาความเป็นพระพุทธเจ้าจากที่อื่นทำไม ก็ท่านนั่นแหละคือพุทธะ
พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต ล้วนกล่าวถึงความเป็นธรรมชาตินี้เท่านั้น
ดังนั้นธรรมชาติก็คือพุทธะ พุทธะก็คือธรรมชาตินั่นเอง
นอกเหนือจากธรรมชาตินี้แล้วย่อมไม่ใช่พุทธะ
และพุทธะนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากธรรมชาติ
ถ้าท่านคิดว่าพุทธะมีอยู่ที่อื่นนอกเหนือธรรมชาตินี้แล้ว
พระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ที่ไหนกัน
ดังนั้นจึงไม่มีพระพุทธเจ้านอกไปจากธรรมชาติที่แท้จริงนี้ได้เลย
ทำไมเมื่อพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าเรานี้แล้วทำไมไม่มองท่าน
จ้องมองดูสิเมื่อกล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่อยู่ต่อหน้าทุกขณะ
ตราบใดที่ยังหลอกตัวเองด้วยการหันหลังให้กับความจริง
ด้วยการสอดส่องสายตาจ้องไปที่อื่น ท่านก็จะไม่รู้จักความเป็นพุทธะ
ซึ่งมันคือความเป็นท่านเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น
ตราบใดที่ท่านยังหลงเพลิดเพลินไปกับการปรากฏแห่งรูป
ซึ่งความเป็นจริงมันย่อมไร้ความมีชีวิต ท่านก็ยังไม่มีความเป็นอิสระ
เพราะความยึดมั่นถือมั่นในปรากฏการณ์แห่งรูปที่เกิดขึ้นนั้น
เมื่อท่านได้ตระหนักชัดอย่างแท้จริงว่า
มันไม่เคยมีรูปเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างแท้จริงเลย
และรูปมันก็เป็นรูปที่มีความหมายถึงความเป็นธรรมชาติของท่านเอง
ท่านก็เป็นอิสระแล้วเดี๋ยวนั้น
ถ้าหากท่านใช้จิตซึ่งคือปรากฏการณ์แห่งภาวะใช้มันหาพุทธะ
ท่านก็จะไม่เห็นพุทธะเลย แต่ถ้าท่านเข้าใจแล้วว่า จิตไม่ใช่จิต
แล้วจิตนี้คือพุทธะ ท่านก็คือพุทธะนั้นแล้วโดยไม่ต้องหา
อย่าใช้ความ
เป็นท่านอันคือธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้าเลย
เมื่อท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งย่อมรู้จักความเป็นตัวท่านดี
ในความเป็นธรรมชาตินั้น
ธรรมชาติก็ย่อมทำให้ท่านไม่หลงเข้าไปยึดบูชาสิ่งอื่นใดได้อีกเลย
แม้แต่สิ่งสิ่งนั้นคือรูปปั้นของพระพุทธเจ้า
อย่าใช้จิตซึ่งเป็นภาวะแห่งตนปลุกความเป็นพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้น
ตามความต้องการของท่านเลย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ถึงพร้อม
ย่อมไม่มานั่งสวดมนต์
พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความเป็นปกติในจิตอันคือพุทธะนั้น
ความเป็นปกตินั้นทำให้ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาศีล
เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกตนเองดีแล้ว
เป็นธรรมชาติแห่งการดำรงชีวิตอยู่ตามกรอบศีลธรรมอันดี
ความมีวินัยแห่งตนเองมานานแล้วนั้น
พระพุทธเจ้าจึงไม่ต้องรักษาวินัยใดๆให้เคร่งครัด
และเมื่อไม่ต้องรักษาจึงไม่มีการละเมิดวินัยแต่อย่างใดอีกด้วย
ความเป็นพระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติแห่งตัวเราเองนั้น
มันคือธรรมชาติที่มีความเป็นกลางปราศจากภาวะแห่งความชั่ว
ไม่เคลื่อนไหวไปตามจิตลักษณะต่างๆ เพราะฉะนั้นความเป็นพระพุทธเจ้าของคุณเอง
จึงไม่ต้องมุ่งที่จะกระทำความดีหรือไต่ไปตามเส้นทางแห่งความชั่ว
การค้น
หาพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการค้นหาที่แท้จริงนั้น
คือการทำความรู้จักและทำความเข้าใจ
ในความเป็นธรรมชาติของตนเองแต่เพียงเท่านั้น
ใครก็ตามที่สามารถเห็นตนเองได้ตามความเป็นจริงตามธรรมชาติแล้ว
บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นพุทธะที่แท้จริงแล้วเช่นกัน ถ้ายังไม่เห็นตนเอง
ถ้ายังไม่เห็นความเป็นธรรมชาติ และมัวแต่หันไปท่องพระสูตร
การบำเพ็ญทานและการรักษาศีล ด้วยจุดประสงค์ว่าสิ่งเหล่านี้
คือส่วนประกอบที่สำคัญแห่งความเป็นพุทธะ
การคิดได้เพียงเท่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
การกระทำในสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการปลุกภาวะจิตของตนให้เกิดขึ้นมา
มันเป็นเพียงกุศลกรรมที่อยู่นอกขอบวงแห่งพุทธะที่แท้จริง
การท่องจำพระสูตรมันมีผลเพียงแค่ทำให้เรามีความจำดีขึ้น
การรักษาศีลเป็นเพียงเรื่องศิลปะในการปรุงแต่ง
ให้จิตดำเนินไปบนพื้นฐานแห่งความรู้สึกที่เป็นสุขแต่เพียงเท่านั้น
และมันก็จะพาให้เราไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น
การบำเพ็ญทานก็มีผลให้เรามีความสุข ในการที่เราได้กระทำการบริจาคไปแบบนั้น
แต่สิ่งทั้งหลายนี้ไม่ส่งผลต่อความเป็นพุทธะเลย
แต่สิ่งทั้งหลายนี้ล้วนมิใช่ความเป็นพุทธะเลย
ถ้าท่านไม่มีปัญญาที่จะทำความเข้าใจในคำสอนอันเป็นธรรมชาตินี้
ท่านก็ต้องเสาะแสวงหาบัณฑิตซึ่งเขาคนนั้น
สามารถชี้ทางให้คุณเดินไปยังหนทางอันคือธรรมชาตินั้นได้
บัณฑิตเหล่านี้ล้วนรู้จักความหมายแห่งคำว่าชีวิตและความตายที่แท้จริง
เพราะเขาเหล่านี้ล้วนมีความเข้าใจ ในความหมายแห่งธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง
มีความรู้แจ้งแทงตลอดในความเป็นธรรมธาตุต่างๆ
ผู้ที่ไม่เห็นธรรมชาติแห่งตนย่อมเป็นครูสอนคนอื่นไม่ได้
ถึงแม้ว่าครูคนนั้นอาจเป็นครูบาอาจารย์ที่เก่ง
สามารถท่องพระสูตรและจดจำเนื้อหาธรรมในพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด
แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่เข้าใจความหมาย
และไม่รู้จริงเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติเลย พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างไปจากท่าน
ซึ่งเขาเหล่านี้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสามภพ
และยังไม่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ออกจากตัวเขาเองได้เลย
ก็นานมาแล้วมีพระอาจารย์รูปหนึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในจีนตอนใต้นี้
ท่านสามารถท่องจดจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด
แต่ท่านก็ท่องจำเพื่อเป็นเหตุให้ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดแค่เพียงเท่านั้น
เพราะการท่องมิได้ทำให้เราเข้าใจ ในความหมายแห่งธรรมชาติที่แท้จริงของตนได้
เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความหลงงมงายโดยเชื่อกันว่า
การท่องจำได้ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้ตนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
และการท่องจำนั้นตนเองก็เหมารวมไปว่า เป็นการท่องเพื่อเรียนรู้ธรรมะ
ความจริงการท่องพระสูตรมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ
กับการทำความเข้าใจอย่างแท้จริงในธรรมอันคือธรรมชาตินั้นเลย
การค้น
พบพระพุทธเจ้า คือ การค้นพบตนเอง
เพราะธรรมชาติแห่งตนเองนี่แหละคือธรรมชาติแห่งพุทธะ
การค้นหาตัวเองเจอจึงมิได้มีความเกี่ยวพันกับพิธีกรรมใดๆ
ธรรมชาติโดยความเป็นจริงโดยเนื้อหามันแล้ว
เป็นธรรมชาติแห่งความเป็นอิสระทั้งปวง
มันเป็นอิสระนอกเหนือจากเหตุปัจจัยใดๆ
รวมทั้งเหตุปัจจัยแห่งพิธีกรรมนั้นด้วย
ที่พวกคุณคิดว่ามันเป็นเหตุที่ทำให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้น
ถ้าท่านยัง
ไม่มองตนเองและไม่รู้เลยว่า ตนเองนั่นแหละคือธรรมชาติแห่งพุทธะ
และยังตั้งจิตเป็นภาวะสัดส่ายมองหาแต่สิ่งภายนอก
ก็ในเมื่อสัจธรรมมีอยู่แล้วในตัวพวกท่านเอง
พวกท่านไม่เคยมีความห่างออกไปจากสัจธรรมนี้
แม้แต่เพียงชั่วครู่ขณะหนึ่งได้เลย
การมองหาในหนทางอื่นจึงเป็นวิธีที่ผิดและหลงทางไป
ก็ในเมื่อท่านคือความเป็นธรรมชาตินั้น การค้นหาจึงไม่จำเป็น
แต่การจะเข้าถึงธรรมชาตินั้นให้ได้ ก็เป็นเพียงแต่ท่านต้องใช้ปัญญา
อันคือการพิจารณาเพื่อให้เข้าถึง
ความหมายที่แท้จริงของความเป็นธรรมชาตินั้น
มันจึงเป็นความเพียรพยายามที่จะทำให้ท่านได้เข้าใจ
ในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้นแต่อย่างเดียว
โดยไม่หันเหไปในทางความหมายอื่น
ก็ในเมื่อชีวิตและความตายที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า
เป็นสิ่งสำคัญที่ท่านดำรงอยู่กับความเป็นชีวิตนั้น
และกำลังดำเนินไปบนเส้นทางแห่งกาลเวลา
ที่จำกัดให้ท่านได้ใช้ขันธ์ธาตุแต่เพียงเท่าที่ท่านได้ทำกรรมมา
ก็ในเมื่อความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้
ท่านก็อย่าได้ทำแต่เรื่องไร้สาระอันคือความทุกข์นั้นอีกเลย
การหลอกลวงตนเองไปวันๆ
มันไม่ได้ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเลย
ความก้าวหน้านี้หมายถึง การที่ท่านได้ใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด
ที่จะเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้น ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง
ความสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนาของท่าน มันจึงเป็นเพียงความฝันหรือภาพลวงตา
ที่ท่านเองพยายามสร้างมันขึ้นมา
แต่ถ้าท่านไหวตัวทันและได้พบกับความเป็นจริงที่แท้จริงแล้ว
ท่านก็จะพบกับหนทางที่สว่างไสว
และก็ขอให้ท่านรีบเดินไปตามเส้นทางนั้นอย่ารั้งรอ
ถ้าไม่สามารถเรียนรู้ความเป็นตนเองในธรรมชาตินั้น
ก็ขอให้ท่านรีบแสวงหาบัณฑิต
ซึ่งเขาสามารถเป็นครูสอนท่านในทางธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
ก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสอนตนเองได้โดยไม่อาศัยคนอื่น
หากบุคคลคนนั้นเข้าใจว่าธรรมชาตินั้น
คือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน
แบบเสร็จสรรพเด็ดขาดอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น
ก็ถือได้ว่าบุคคลเช่นนี้มีบุญบารมีมาตั้งแต่เกิด
เมื่อสามารถเรียนรู้สิ่งใดก็สามารถเข้าใจ
เหตุและปัจจัยของสิ่งสิ่งนั้นได้อย่างทั่วถึงและลึกซึ้ง
บุคคลเหล่านี้เป็นผู้มีบุญปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ
ธรรมอย่างถ่องแท้ และกลับคิดไปเองแต่ฝ่ายเดียวว่า ตนเองมีความเข้าใจดีแล้ว
โดยปราศจากการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง
และปราศจากการปฏิบัติตามธรรมชาติที่ถูกต้อง คนหลงทางไปเช่นนี้
ย่อมไม่สามารถแยกแยะเหตุปัจจัยได้ตามความเป็นจริง
พวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่สามารถแยกแยะออกได้ระหว่างดำกับขาว เขาย่อมมองเห็น
อสัจธรรมเป็นสัจธรรม
เขาย่อมเข้าใจความเป็นพุทธะแบบผิดๆและกล่าวออกมาเช่นนั้น
จึงเป็นการดูหมิ่นดูแคลนความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
และเป็นการลบล้างความหมายอันเป็นความจริงแห่งธรรมนั้นไป
ความเป็น
จริงพวกเขาเหล่านี้เป็นมาร พวกเขามองเห็นว่าพุทธะมิใช่พุทธะ
ธรรมชาติมิได้สอนอะไรพวกเขาเลย
ครูของเขาคือพญามารที่เข้ามาครอบงำจิตใจให้เขา มองไม่เห็นความเป็นธรรมชาติ
และพาพวกเขาไปเส้นทางอื่นซึ่งเป็นวิธีการแบบผิดๆ
ที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นวิธีการอันเหมาะสม ที่จะทำให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้
พวกเขาเหล่านี้รวมทั้งคนอื่นๆที่หลงงมงายปฏิบัติตามคำสอน
ย่อมพากันไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด
พวกเขาเหล่านี้จะเรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างไรกัน
เมื่อพวกเขายังหลอกตนเองและคนอื่น
ให้ก้าวไปสู่ภพภูมิแห่งมารอันคือพุทธะที่ทำให้ต้องไปเกิด
ก็ในเมื่อ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
ก็หมายความถึงผู้ที่สามารถเข้าใจ
ในความเป็นธรรมอันคือธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
หมดแล้วซึ่งความลังเลสงสัยในความหมายแห่งธรรมนั้นๆ
และเมื่อสามารถดำรงอยู่กับความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง ได้อย่างมีความสุข
ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าได้เห็นความเป็นพระพุทธเจ้าแห่งตนเองแล้ว
ถ้าท่านยังมีความเห็นว่ายังมีความแตกต่าง
ระหว่างความเป็นพุทธะกับความเป็นปุถุชน
การค้นหาพุทธะด้วยเหตุปัจจัยในความเข้าใจแบบนี้
มันจะไม่สามารถทำให้ท่านได้รู้เห็นพุทธะที่แท้จริงได้เลย
เพราะความเป็นปุถุชนก็มิได้มีอะไรแตกต่างจากความเป็นพุทธะ
ความเป็นปุถุชนของเรานั้น
แท้จริงมันก็คือความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ
เพราะความเป็นจริงทุกสรรพสิ่งย่อมมีเนื้อหาเป็นหนึ่งเดียวกันหมด
เมื่อ
ไม่เคยปรากฏความเป็นปุถุชนภาวะที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินี้ได้เลย
ก็เช่นเดียวกัน
มันจึงย่อมไม่เคยปรากฏความเป็นพุทธะภาวะในธรรมชาตินี้ได้เช่นกัน
ธรรมชาติแห่งพุทธะมันเป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น
ธรรมชาติมันย่อมปราศจากภาวะใดๆ แม้กระทั่งภาวะแห่งความเป็นพุทธะ
ความเป็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งมิใช่พุทธะตามภาวะ
มันย่อมอยู่ในความเป็นธรรมชาตินั้นแล้ว ไม่มีพุทธะที่นอกเหนือจากธรรมชาติ
และไม่มีธรรมชาติอื่นนอกจากความเป็นพุทธะอยู่อย่างนั้น
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น