บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ
"ฉันมีข้อสงสัยอยากจะถามว่า
หากฉันยังไม่สามารถเห็นธรรมชาติแห่งพุทธะของฉันได้
มันจะไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอที่จะทำให้ฉันได้บรรลุธรรม
หากฉันตั้งใจที่จะประกอบกุศลผลบุญหมั่นรักษาศีล"
"ถ้าท่านทำเช่นนั้นถึงท่านตั้งใจทำความดีมันก็บรรลุธรรมไม่ได้"
"ทำไมถึงบรรลุธรรมไม่ได้"
"การ
ที่ท่านตั้งใจเพื่อให้เข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสิ่งนั้นถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับชีวิตท่าน
แต่มันก็เป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้ท่านก่อกรรมชนิดกุศลกรรม
และกรรมดีนี้ก็ส่งผลให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป
แต่การบรรลุธรรมมันเป็นเพียง
การที่ท่านได้เข้าใจและได้เป็นธรรมชาติในความเป็นท่าน
ซึ่งคือธรรมชาติที่ปราศจากภาวะปรุงแต่งทั้งปวง
แม้กระทั่งการปรุงแต่งถึงความดีงามมากมายมหาศาล
ที่ท่านได้ตั้งใจและมุ่งหวังกระทำมันขึ้น มันก็เป็นเพียง "จิต"
ที่ดีเท่านั้นที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้น
คือความเป็นธรรมชาติที่มีความอิสระนอกเหนือจากกรรมทั้งปวง
นอกเหนือจากการสร้างเหตุและปัจจัยทั้งปวง
การที่กล่าวว่าตนได้หมั่นประกอบคุณงามความดี แล้วตนจะได้บรรลุธรรม
จึงเป็นการดูหมิ่นพระพุทธเจ้า คนที่เป็นทาสต่อความต้องการของตนเอง
ในการที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความทะยานอยาก
คนที่ไม่เข้าใจอะไรให้ตรงกับความเป็นจริงเช่นนี้ จะบรรลุธรรมอะไรได้"
ความ
เป็นพระพุทธเจ้า มิใช่ความมีความเป็นในเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น
มีความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน
เป็นสัจธรรมอันคือพื้นฐานแห่งความเป็นไปในธรรมชาตินั้น
ธรรมชาติแห่งพุทธะจึงคือธรรมชาติที่มีความเป็นอิสระ
ไม่ถูกพัวพันห่อหุ้มไปด้วยอวิชชาแห่งการปฏิบัติและการรู้แจ้ง
และเป็นอิสระจากเหตุและปัจจัย
ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นย่อมไม่
ต้องสมาทานศีล เพราะธรรมชาตินั้นคือความเป็นปกติอยู่แล้ว
มันเป็นธรรมชาติที่เป็นจิตแห่งพุทธะไม่มีความแปรเปลี่ยนไป
ในด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะจึงไม่ต้องทำชั่วอีก
เพราะความเป็นพุทธะนั้นคือธรรมชาติ
มันจึงเป็นธรรมชาติที่มันเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องใช้ความระมัดระวังอะไรเพื่ออะไร
และมันเป็นธรรมชาติซึ่งมิใช่จิต(ภาวะปรุงแต่ง) มันจึงไม่ต้องเข้าไประวังจิต
เพราะ
ฉะนั้นถ้ามีคนมากล่าวว่า
เขาปฏิบัติธรรมด้วยการทำจิตให้ว่างอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องผิด
เพราะธรรมชาติคือธรรมชาติ ธรรมชาติจึงมิใช่การปฏิบัติ
ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มิใช่เกิดจากการปฏิบัติ
แต่ถ้าการปฏิบัตินั้นเป็นการทำความเข้าใจ
และเห็นในธรรมชาติแห่งพุทธะของตนเอง
ผู้นั้นก็ขึ้นชื่อได้ว่าได้ปฏิบัติแบบถูกวิธี
คือได้ปฏิบัติตามความเป็นไปแห่งความเป็นธรรมชาติแล้ว
การบรรลุธรรมแท้จริงโดยไม่เห็นความเป็นธรรมชาติแห่งตน ย่อมเป็นไปไม่ได้
และถ้ายังทำกรรมชั่วอยู่ แล้วอ้างว่ากรรมนั้นไม่สามารถให้ผลได้
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง
มันจึงเป็นความเข้าใจผิดต่อความที่ตนเองได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เพราะความเป็นมนุษย์ผู้มีใจประเสริฐ
สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้ด้วยคุณงามความดีแห่งใจ
จึงเรียกตนเองว่ามนุษย์ หากท่านเป็นผู้มีปัญญาจงตั้งใจประพฤติตนเอง
ให้เป็นไปตามความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะเถิด
อย่าได้ก้าวล่วงไปสู่การกระทำที่ตกต่ำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานอีกเลย
"แล้วถ้าทุกสิ่งล้วนมาจากจิต เมื่อจิตดับไปขันธ์ธาตุแตกสลาย ทำไมเราจึงไม่รู้และต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก"
"ก็จิตมันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ ทำไมท่านถึงไม่ดูจิตเลย"
"ก็
ธรรมชาติแห่งพุทธะคือจิตนี้ มันอยู่กับท่านเป็นกัปเป็นกัลป์แล้ว
มันเป็นอย่างนี้ของมันมาตั้งแต่ต้น
โดยที่ไม่มีการเริ่มต้นและหาจุดจบแห่งมันไม่ได้
มันไม่เคยอยู่ในสถานะที่ต้อง "อยู่" และไม่เคยตาย
มันเป็นธรรมชาติแห่งการไม่ปรากฏขึ้นและไม่หายไป
มันเป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ โดยที่มันไม่มีความสะอาดหรือความสกปรก
มันเป็นกลางตามธรรมชาติมิใช่ภาวะแห่งความดีหรือความชั่ว มันมิใช่ทั้งอดีต
อนาคต และไม่ใช่ทั้งปัจจุบัน แต่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว และจะเป็นแบบนี้เรื่อยไปมิได้อยู่กับ "กาลเวลา"
มันเป็นธรรมชาติของมันเองโดยมิใช่ความถูกหรือความผิด
และมันเป็นธรรมชาติโดยลักษณะมันเอง มิใช่เป็นเพื่อยืนยันความถูกหรือความผิด
มันเป็นความเพียรเพื่อไปสู่ความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง
โดยเป็นความเพียรเพื่อมิได้ทำให้ตนเองรู้แจ้ง มันเป็นความว่างเปล่า
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น
โดยไม่สามารถมีใครเป็นเจ้าของมันได้ หรือไม่อาจมีใครทำลายล้างมันลงไปได้
และมันไม่สามารถมีใครเข้าไปควบคุม
บังคับความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของพุทธะนี้ไปได้เลย
ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถูก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำ
จึงถูกดึงเข้าไปในกระแสธรรม แห่งการไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดเวลา
เมื่อใดที่พวกเขาพยายามออกจากกระแส ด้วยวิธีอันไม่ฉลาดของเขาเอง
ก็ยิ่งพาพวกเขาจมดิ่งไปสู่ความลึกแห่งห้วงอวิชชา
ทั้งนี้เป็นเพราะพวกคนเหล่านี้ไม่รู้ความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง
ถ้าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ถูกครอบงำ ก็แสดงว่าพวกเขาเข้าใจความเป็นธรรมชาติ
ที่อยู่กับพวกเขาเองมาตลอดอยู่แล้ว
เพราะด้วยความเป็นไปของจิต
อันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มันไร้ขอบเขต
การแสดงตัวมันเองออกมาตามความเป็นธรรมชาติ
มันจึงเป็นการปรากฏตัวตามที่มันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว
แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
ในพระสูตรกล่าวว่า
รูปกายของตถาคตไม่มีที่สิ้นสุด
การแสดงออกในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของพระพุทธองค์
ความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ที่มีผลอันเนื่องมาจากจิต
อันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่สามารถแยกแยะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ดำเนินการเคลื่อนไหวไปแห่งความเป็นพุทธลีลา
จึงเป็นการเคลื่อนไหวด้วยธรรมชาติแห่งการรู้สึกตัวทั่วพร้อม
อันคือธรรมชาติแห่งการรู้สึกในความมีสัมมาสตินั่นเอง
ในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า "บุคคลควรรู้จักความเป็นตัวเองในธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วและเป็นส่วนหนึ่งแห่งมัน"
ดัง
นี้ธรรมชาติแห่งพุทธะของเราก็คือจิต จิตก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะของเรา
และธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ ก็คือจิตของความเป็นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
ที่พระพุทธองค์ได้ถ่ายทอดจิตชนิดนี้มาสู่เรา
นอกจากจิตอันคือความเป็นพุทธะนี้แล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ไหนอีกเลย
แต่
ผู้ที่มืดบอดไปด้วยอวิชชา
ย่อมไม่รู้ว่าจิตของตนเองนั้นคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ
จึงทำให้เขาแสวงหาพุทธะจากภายนอกจากที่อื่น และเฝ้าถามกับตนเองอยู่เสมอๆว่า
พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเพียงจิตนาการแห่งพุทธะ
ที่ท่านคิดถึงมันแต่เพียงเท่านั้น ก็จิตของท่านนั่นแหละคือพุทธะ
แล้วทำไมต้องไปหาจากที่อื่นอีก การที่ท่านเฝ้าแสวงหามัน
ก็เป็นพุทธะภาวะที่เกิดขึ้นตามจินตนาการของท่าน
มันเป็นจินตนาการที่เป็นการเกิดขึ้นแห่งรูปซึ่งล้วนแต่เป็นมายา
บุคคลผู้ยึดถือเอาความเป็นพุทธะตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
พวกเขาย่อมทำตัวเองให้พ้นทางไปจากอริยมรรคอันสมบูรณ์
ก็เท่าที่กล่าว
มานี้ ฉันเพียงชี้ให้ท่านเห็นความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้
ที่มันเป็นตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ฉันเกรงว่าท่านจะไม่รู้สึกตัว
เพราะการที่จิตของท่านมีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว
เป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
มันจึงไม่จำเป็นต้องไปหาความบริสุทธิ์จากที่อื่นอีกเลย
จงรักษาความบริสุทธิ์ด้วยการเป็นไปตามธรรมชาติของมันอยู่เสมอ
มันเป็นธรรมชาติที่มีความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองเป็นพื้นฐานอยู่เสมอ
เมื่อท่านได้อยู่กับความเป็นธรรมชาติแห่งตนแล้ว อย่าได้มีความกลัวใดๆอีกเลย
ความกลัวอันมีต่อสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในการเกิดขึ้นแห่งรูป
สิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นมายา หาความมีตัวมีตนที่แท้จริงก็หาได้ไม่
มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น
ขอให้ท่านจงโปรดอยู่กับความสงบตามธรรมชาติของมันเองเถิด
มันสงบแล้วอย่าทำอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีก
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น