วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

นิกายเซน หนังสือ "คำสอนเซน ภาคเซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"-บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ

บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ

"ฉันมีข้อสงสัยอยากจะถามว่า หากฉันยังไม่สามารถเห็นธรรมชาติแห่งพุทธะของฉันได้ มันจะไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอที่จะทำให้ฉันได้บรรลุธรรม หากฉันตั้งใจที่จะประกอบกุศลผลบุญหมั่นรักษาศีล"

"ถ้าท่านทำเช่นนั้นถึงท่านตั้งใจทำความดีมันก็บรรลุธรรมไม่ได้"

"ทำไมถึงบรรลุธรรมไม่ได้"

"การ ที่ท่านตั้งใจเพื่อให้เข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับชีวิตท่าน แต่มันก็เป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้ท่านก่อกรรมชนิดกุศลกรรม และกรรมดีนี้ก็ส่งผลให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป แต่การบรรลุธรรมมันเป็นเพียง การที่ท่านได้เข้าใจและได้เป็นธรรมชาติในความเป็นท่าน ซึ่งคือธรรมชาติที่ปราศจากภาวะปรุงแต่งทั้งปวง แม้กระทั่งการปรุงแต่งถึงความดีงามมากมายมหาศาล ที่ท่านได้ตั้งใจและมุ่งหวังกระทำมันขึ้น มันก็เป็นเพียง "จิต" ที่ดีเท่านั้นที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้น คือความเป็นธรรมชาติที่มีความอิสระนอกเหนือจากกรรมทั้งปวง นอกเหนือจากการสร้างเหตุและปัจจัยทั้งปวง การที่กล่าวว่าตนได้หมั่นประกอบคุณงามความดี แล้วตนจะได้บรรลุธรรม จึงเป็นการดูหมิ่นพระพุทธเจ้า คนที่เป็นทาสต่อความต้องการของตนเอง ในการที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความทะยานอยาก คนที่ไม่เข้าใจอะไรให้ตรงกับความเป็นจริงเช่นนี้ จะบรรลุธรรมอะไรได้"

ความ เป็นพระพุทธเจ้า มิใช่ความมีความเป็นในเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น มีความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน เป็นสัจธรรมอันคือพื้นฐานแห่งความเป็นไปในธรรมชาตินั้น ธรรมชาติแห่งพุทธะจึงคือธรรมชาติที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกพัวพันห่อหุ้มไปด้วยอวิชชาแห่งการปฏิบัติและการรู้แจ้ง และเป็นอิสระจากเหตุและปัจจัย

ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นย่อมไม่ ต้องสมาทานศีล เพราะธรรมชาตินั้นคือความเป็นปกติอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติที่เป็นจิตแห่งพุทธะไม่มีความแปรเปลี่ยนไป ในด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะจึงไม่ต้องทำชั่วอีก เพราะความเป็นพุทธะนั้นคือธรรมชาติ มันจึงเป็นธรรมชาติที่มันเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้ความระมัดระวังอะไรเพื่ออะไร และมันเป็นธรรมชาติซึ่งมิใช่จิต(ภาวะปรุงแต่ง) มันจึงไม่ต้องเข้าไประวังจิต

เพราะ ฉะนั้นถ้ามีคนมากล่าวว่า เขาปฏิบัติธรรมด้วยการทำจิตให้ว่างอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องผิด เพราะธรรมชาติคือธรรมชาติ ธรรมชาติจึงมิใช่การปฏิบัติ ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มิใช่เกิดจากการปฏิบัติ แต่ถ้าการปฏิบัตินั้นเป็นการทำความเข้าใจ และเห็นในธรรมชาติแห่งพุทธะของตนเอง ผู้นั้นก็ขึ้นชื่อได้ว่าได้ปฏิบัติแบบถูกวิธี คือได้ปฏิบัติตามความเป็นไปแห่งความเป็นธรรมชาติแล้ว การบรรลุธรรมแท้จริงโดยไม่เห็นความเป็นธรรมชาติแห่งตน ย่อมเป็นไปไม่ได้ และถ้ายังทำกรรมชั่วอยู่ แล้วอ้างว่ากรรมนั้นไม่สามารถให้ผลได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง มันจึงเป็นความเข้าใจผิดต่อความที่ตนเองได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์ผู้มีใจประเสริฐ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้ด้วยคุณงามความดีแห่งใจ จึงเรียกตนเองว่ามนุษย์ หากท่านเป็นผู้มีปัญญาจงตั้งใจประพฤติตนเอง ให้เป็นไปตามความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะเถิด อย่าได้ก้าวล่วงไปสู่การกระทำที่ตกต่ำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานอีกเลย

"แล้วถ้าทุกสิ่งล้วนมาจากจิต เมื่อจิตดับไปขันธ์ธาตุแตกสลาย ทำไมเราจึงไม่รู้และต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก"

"ก็จิตมันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ ทำไมท่านถึงไม่ดูจิตเลย"

"ก็ ธรรมชาติแห่งพุทธะคือจิตนี้ มันอยู่กับท่านเป็นกัปเป็นกัลป์แล้ว มันเป็นอย่างนี้ของมันมาตั้งแต่ต้น โดยที่ไม่มีการเริ่มต้นและหาจุดจบแห่งมันไม่ได้ มันไม่เคยอยู่ในสถานะที่ต้อง "อยู่" และไม่เคยตาย มันเป็นธรรมชาติแห่งการไม่ปรากฏขึ้นและไม่หายไป มันเป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ โดยที่มันไม่มีความสะอาดหรือความสกปรก มันเป็นกลางตามธรรมชาติมิใช่ภาวะแห่งความดีหรือความชั่ว มันมิใช่ทั้งอดีต อนาคต และไม่ใช่ทั้งปัจจุบัน แต่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว และจะเป็นแบบนี้เรื่อยไปมิได้อยู่กับ "กาลเวลา" มันเป็นธรรมชาติของมันเองโดยมิใช่ความถูกหรือความผิด และมันเป็นธรรมชาติโดยลักษณะมันเอง มิใช่เป็นเพื่อยืนยันความถูกหรือความผิด มันเป็นความเพียรเพื่อไปสู่ความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง โดยเป็นความเพียรเพื่อมิได้ทำให้ตนเองรู้แจ้ง มันเป็นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น โดยไม่สามารถมีใครเป็นเจ้าของมันได้ หรือไม่อาจมีใครทำลายล้างมันลงไปได้ และมันไม่สามารถมีใครเข้าไปควบคุม บังคับความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของพุทธะนี้ไปได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถูก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำ จึงถูกดึงเข้าไปในกระแสธรรม แห่งการไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่พวกเขาพยายามออกจากกระแส ด้วยวิธีอันไม่ฉลาดของเขาเอง ก็ยิ่งพาพวกเขาจมดิ่งไปสู่ความลึกแห่งห้วงอวิชชา ทั้งนี้เป็นเพราะพวกคนเหล่านี้ไม่รู้ความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง ถ้าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ถูกครอบงำ ก็แสดงว่าพวกเขาเข้าใจความเป็นธรรมชาติ ที่อยู่กับพวกเขาเองมาตลอดอยู่แล้ว

เพราะด้วยความเป็นไปของจิต อันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มันไร้ขอบเขต การแสดงตัวมันเองออกมาตามความเป็นธรรมชาติ มันจึงเป็นการปรากฏตัวตามที่มันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น

ในพระสูตรกล่าวว่า รูปกายของตถาคตไม่มีที่สิ้นสุด การแสดงออกในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของพระพุทธองค์ ความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ที่มีผลอันเนื่องมาจากจิต อันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่สามารถแยกแยะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดำเนินการเคลื่อนไหวไปแห่งความเป็นพุทธลีลา จึงเป็นการเคลื่อนไหวด้วยธรรมชาติแห่งการรู้สึกตัวทั่วพร้อม อันคือธรรมชาติแห่งการรู้สึกในความมีสัมมาสตินั่นเอง

ในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า "บุคคลควรรู้จักความเป็นตัวเองในธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วและเป็นส่วนหนึ่งแห่งมัน"

ดัง นี้ธรรมชาติแห่งพุทธะของเราก็คือจิต จิตก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะของเรา และธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ ก็คือจิตของความเป็นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่พระพุทธองค์ได้ถ่ายทอดจิตชนิดนี้มาสู่เรา นอกจากจิตอันคือความเป็นพุทธะนี้แล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ไหนอีกเลย

แต่ ผู้ที่มืดบอดไปด้วยอวิชชา ย่อมไม่รู้ว่าจิตของตนเองนั้นคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ จึงทำให้เขาแสวงหาพุทธะจากภายนอกจากที่อื่น และเฝ้าถามกับตนเองอยู่เสมอๆว่า พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเพียงจิตนาการแห่งพุทธะ ที่ท่านคิดถึงมันแต่เพียงเท่านั้น ก็จิตของท่านนั่นแหละคือพุทธะ แล้วทำไมต้องไปหาจากที่อื่นอีก การที่ท่านเฝ้าแสวงหามัน ก็เป็นพุทธะภาวะที่เกิดขึ้นตามจินตนาการของท่าน มันเป็นจินตนาการที่เป็นการเกิดขึ้นแห่งรูปซึ่งล้วนแต่เป็นมายา บุคคลผู้ยึดถือเอาความเป็นพุทธะตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาย่อมทำตัวเองให้พ้นทางไปจากอริยมรรคอันสมบูรณ์

ก็เท่าที่กล่าว มานี้ ฉันเพียงชี้ให้ท่านเห็นความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ ที่มันเป็นตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ฉันเกรงว่าท่านจะไม่รู้สึกตัว เพราะการที่จิตของท่านมีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว เป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มันจึงไม่จำเป็นต้องไปหาความบริสุทธิ์จากที่อื่นอีกเลย จงรักษาความบริสุทธิ์ด้วยการเป็นไปตามธรรมชาติของมันอยู่เสมอ มันเป็นธรรมชาติที่มีความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองเป็นพื้นฐานอยู่เสมอ เมื่อท่านได้อยู่กับความเป็นธรรมชาติแห่งตนแล้ว อย่าได้มีความกลัวใดๆอีกเลย ความกลัวอันมีต่อสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในการเกิดขึ้นแห่งรูป สิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นมายา หาความมีตัวมีตนที่แท้จริงก็หาได้ไม่ มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น ขอให้ท่านจงโปรดอยู่กับความสงบตามธรรมชาติของมันเองเถิด มันสงบแล้วอย่าทำอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีก




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น