บทที่ 19 จิต
จิตก็คือความคิดที่เป็นการปรุงแต่งขึ้น 
เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงเนื้อหารายละเอียดอันสามารถบ่งบอกได้ 
ถึงทัศนคติโดยรวมแห่งความเป็นอัตตาตัวตนแห่งเรา 
จิตต่างๆเกิดจากการปรุงแต่งในความที่เห็นว่า 
ขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้นนั้นคือเรา 
เป็นการปรุงแต่งเพื่อความเป็นไปแห่งความเป็นตัวตน ของตนเองอยู่อย่างนั้น 
เป็นการปรุงแต่งในความเป็นตัวตนของตนเองต่อสิ่งรอบข้าง 
ที่เรายังมองเห็นอยู่ว่าสิ่งสิ่งนั้น "มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่เช่นกัน" 
ก็ด้วยอวิชชาความไม่รู้ที่พาเข้าไปยึดมั่นถือมั่น 
ย่อมทำให้เรามีทิฐิเห็นว่ากายนี้คือเรา 
ย่อมทำให้เห็นว่าส่วนประกอบที่เป็นส่วนๆและเข้ามาประชุมกัน อันได้แก่ รูป 
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น มันคือความเป็นเราอย่างเหนียวแน่น 
แต่ในความเป็นจริงธรรมชาติย่อมว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว 
ย่อมไม่เคยมีอะไรเลยสักสิ่งหนึ่งหรือทุกๆสิ่งเลย 
ที่สามารถเกิดขึ้นตั้งอยู่แสดงความเป็นตัวตนของมันปรากฏขึ้นมาได้ 
ตถาคตเจ้าจึงตรัสว่า จิตต่างๆที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทุกชนิด 
ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น 
เพราะแท้จริงสิ่งต่างๆซึ่งเป็นจิตเหล่านี้ย่อมไม่มีตัวตนอยู่แล้ว 
เพราะแท้จริงธรรมชาติอันแท้จริงมันย่อมว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว 
ตามเนื้อหาตามสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น 
เมื่อนักปฏิบัติเผลอเข้าไปยึดปรุงแต่งเป็นจิตเกิดขึ้น เพราะความขาดไป ซึ่ง 
"ธรรมชาติแห่งการระลึกได้ในทิฐิที่ถูกต้อง" ในขณะนั้น 
ก็ขอให้นักปฏิบัติทำความเข้าใจ ให้ตรงต่อความเป็นจริงในขณะนั้นเลยว่า 
มันไม่เคยมี "จิต" ชนิดนี้(ที่พึ่งปรุงแต่งขึ้น)เกิดขึ้นมาก่อนเลย 
และก็ขอให้นักปฏิบัติทั้งหลายทำความเข้าใจด้วยความตระหนักชัด 
ในขณะนั้นเช่นกันว่า แท้จริงธรรมชาติมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที 
ซึ่งเป็นความดั้งเดิมแท้ 
แห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว 
หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือจิตใดๆปรุงแต่งเกิดขึ้นไม่ 
มันจึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตรงเป็นการปฏิบัติชอบ 
ด้วยธรรมชาติแห่งการระลึกได้ตามทิฐิความเห็นที่ถูกต้องได้ 
ในขณะนั้นอยู่แล้วนั้นเอง เป็นการปฏิบัติเพื่อความเห็นชัดตามความเป็นจริง 
โดยปล่อยให้ธรรมชาติมันทำหน้าที่ตามสภาพเดิมๆของมันอยู่อย่างนั้น 
นั่นแหละการปฏิบัติตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ตรงตามพุทธประสงค์ 
เป็นการปฏิบัติเพื่อความเป็นไปในการตระหนักชัดและซึมซาบ 
กลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่อย่างนั้น
แต่
ก็ด้วยอนุสัยความเคยชินเดิมๆของนักปฏิบัติทั้งหลาย 
และด้วยเพราะเหตุที่ยังไม่สามารถเข้าใจตระหนักอย่างชัดแจ้ง 
ในความเป็นไปในธรรมชาตินั้นได้อย่างแท้จริง 
จึงอาจมีความพลั้งเผลอทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย 
เผลอขาดสติหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา 
ตามอนุสัยความเคยชินตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน จึงกลายเป็นจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ 
ขึ้นมาอยู่เนืองๆ
ก็ด้วยความที่พึ่งจะทำความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติ
 
และยังไม่สามารถมีความเข้าใจอย่างถึงที่สุดในความตระหนักชัดแจ้งและยังไม่
สามารถกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันได้อย่างแนบสนิทในความเป็นธรรมชาติ
นั้น นักปฏิบัติทั้งหลายจึงอาจมีความพลั้งเผลอขาดสติ 
หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา 
ตามสภาพที่กำลังดำเนินไปในเส้นทางธรรมชาติ ที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งเส้นทาง 
โดยยังมีอวิชชาความหลงเข้าไปยึดปรุงแต่งเป็นจิตต่างๆนานา ขึ้นมา 
"อย่างมากมาย" ในชั่วขณะหนึ่ง ด้วยความที่ยังไม่สามารถตั้งมั่นในความซึมซาบ
 เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้นได้ จึงกลายเป็น จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ 
เกิดขึ้นมาได้อย่างเนืองๆ
ก็ด้วยแท้จริงความเป็นธรรมชาติ 
มันคงเนื้อหาแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน 
อยู่อย่างนั้นของมันเองอยู่แล้ว 
มันเป็นธรรมชาติในความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น 
ในความว่างที่มันว่างตลอดแบบไม่ขาดสายของมันอยู่อย่างนั้น 
เป็นความบริบูรณ์พรั่งพร้อมโดยสภาพแห่งมันอยู่แล้ว 
มันเป็นความสมบูรณ์แบบโดยไม่จำเป็นต้องให้ใคร 
เข้ามาเสริมเติมแต่งแก้ไขในความเป็นมัน 
ในสภาพธรรมชาติที่เต็มบริบูรณ์ของมันอยู่อย่างนี้เองอยู่แล้ว 
ดังนั้นความเป็นธรรมชาติ 
มันจึงไม่ต้องการให้ภาวะหรือความเป็นปรากฏการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น 
มาเป็นเครื่องยืนยันถึงฐานะแห่งความสมบูรณ์ของความเป็นเนื้อหา 
หรือสภาพสมบูรณ์ของความว่างเปล่าของมันอีกเลย เพราะฉะนั้นความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนตามธรรมชาติ 
จึงมิใช่ภาพแห่งความที่จะต้องมีความชัดเจน 
ที่นักปฏิบัติทั้งหลายจะเข้าไปกระทำจัดแจง ให้ความว่างเปล่าเกิดขึ้น 
"ตามความรู้สึก" อันเกิดจากความเข้าใจผิดไปเองแต่ฝ่ายเดียวของนักปฏิบัติ 
ว่าความว่างเปล่านั้น ต้องเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ 
ต้องเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ต้องมีการแก้ไขตรงโน้น 
ต้องเข้าไปทำเพิ่มตรงนี้ และก็ด้วยความเข้าใจผิดเหล่านี้ 
ก็อาจทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย เข้าไปรื้อค้นตรวจสอบและเข้าไปกระทำการใดๆ 
เพื่อให้ความว่างเปล่า 
ซึ่งมันมีสภาพที่แท้จริงตามธรรมชาติของมันอยู่แล้วนั้น ให้มัน "มีภาพออกมา"
 ตรงกับความรู้สึกความเข้าใจของนักปฏิบัติเอง 
ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดๆต่อเนื้อหา ความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่านั้น 
ด้วยความเป็นไปดังกล่าวนี้ 
จึงอาจทำให้นักปฏิบัติเผลอเข้าไปปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา 
เพื่อเข้าไปรื้อค้นและเพื่อยืนยันฐานะการปฏิบัติธรรมแห่งตน จนกลายเป็น 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากราคะ 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากโทสะ 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากโมหะ 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตเป็นสมาธิ 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตไม่เป็นสมาธิ 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตไม่หลุดพ้น 
การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตหลุดพ้น เกิดขึ้นมาได้อย่างเนืองๆ
ก็
เมื่อเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่ "จิต" 
ที่เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น 
ไม่ว่ามันจะเป็นจิตที่ชื่อว่าอะไรก็ตาม 
ไม่ว่ามันจะเป็นจิตที่ปรุงแต่งไปในทางความหมายใดๆก็ตาม 
มันก็ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่หามีความเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นไม่ 
มันก็ล้วนเป็นเพียงจิตที่ไม่เคยมีความเกิดขึ้นมาก่อนเลยในวินาทีนี้ 
คือวินาทีแห่งความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้งแห่งเรา 
ว่าในความเป็นธรรมชาตินั้น มันก็ล้วนแต่เป็นเพียงความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนแบบเสร็จสรรพเด็ดขาด 
ตามสภาพธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น 
มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งความเป็นมัน 
อันคือการหาจุดเริ่มต้นในสภาพแห่งความเป็นมันนั้นไม่ได้ 
และอันหาจุดสิ้นสุดในสภาพความเป็นมันนั้นก็มิได้เช่นกัน 
ซึ่งเป็นความแรกเริ่มของมันมาอยู่แบบนั้นมานานแสนนานแล้ว
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น