| 
 
บทที่ 28 ไม่มีอริยสัจ
 ธรรม
ที่เป็นสภาพในความเป็นมันอันแท้จริงนั้น มันก็คือความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนโดยตัวมันเอง 
ซึ่งหมายความถึงมันเป็นความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น 
โดยสภาพตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น 
ซึ่งเป็นไปตามความหมายที่ตถาคตเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา 
ซึ่งมีความหมายถึง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง 
ย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว 
ธรรมทั้งหลายย่อมคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า 
โดยสภาพตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แต่การอธิบายธรรมให้แก่ปุถุชนผู้มืดบอด 
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมอันคือธรรมชาตินี้อย่างแท้จริง 
จึงเป็นการอธิบายเป็นไปในทางซึ่งการหักล้าง 
กับทิฐิเดิมของผู้ที่มืดบอดที่พวกเขาเหล่านั้นได้ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ 
ว่าทำไมธรรมซึ่งเป็นทิฐิเหล่านั้นจึงไม่ใช่ธรรมอันแท้จริง 
และเป็นการอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ 
ที่ตรงต่อสภาพธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง 
การอธิบายจึงเป็นไปในกระบวนการทำความกระจ่างชัดให้เกิดขึ้นว่า 
อะไรคือปัญหาที่คุณกำลังเผชิญหน้าอยู่ 
และสาเหตุแห่งปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด 
และอะไรคือหนทางแห่งการแก้ไขปัญหานั้น และท้ายที่สุด 
อะไรคือการแก้ไขปัญหาได้ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
การอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง ในกระบวนการทั้งหมด 
"ของความเข้าใจ" เพื่อมุ่งไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั้น 
มันคือความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ในหนทางที่จะพาพวกคุณ 
ไปสู่เส้นทางธรรมชาติที่แท้จริง 
ซึ่งมันเป็นเนื้อหาธรรมตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริง 
ที่มันเป็นไปตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว 
ธรรมอันคือเนื้อหาธรรมเพื่อทำความเข้าใจ 
และเพื่อให้เกิดความตระหนักอย่างชัดแจ้งรู้แจ้งนี้ 
ตถาคตเจ้าทรงตรัสเรียกว่า "ธรรมอันคืออริยสัจ" 
ซึ่งเป็นธรรมที่มีเนื้อหาอยู่ 4 อย่าง คือ ธรรมอันคือ ทุกข์ ธรรมอันคือ 
สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมอันคือ นิโรธ ความดับไปแห่งธรรมทั้งหลาย 
อันคือสภาพธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น 
ซึ่งหมายถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งคือความทุกข์ได้อย่างหมดจด 
ซึ่งเป็นการแก้ไขได้ด้วยความเป็นจริงที่มันเป็นไป 
ตามสภาพธรรมนั้นๆเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ ธรรมอันคือ มรรค 
หนทางที่เป็นความพ้นทุกข์ และดำเนินไปสู่ความเป็นเนื้อหาเดียวกัน 
ของธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง แต่ด้วยธรรมอันคืออริยสัจนี้ 
เป็นธรรมชาติที่จะต้องนำมา "พิจารณา" 
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงและถูกต้อง 
เพื่อที่จะได้ดำเนินไปในทางนั้น ก็ด้วยการเข้าไปพิจารณาในธรรมเหล่านี้ 
ที่ว่าด้วยอะไรเป็นอะไรตามเหตุปัจจัยของธรรมนั้น อันเป็น "เหตุผล" 
ที่ทำให้เราเชื่อและเข้าใจในเนื้อหานั้น 
ได้ตรงต่อความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง 
การพิจารณาดังกล่าวมันจึงเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาเป็น "จิต" 
เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะการเข้าไปพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านั้น 
เป็นจิตที่เกิดขึ้นในความเป็นไปแห่งการแสดงภาพลักษณ์ 
แห่งความเข้าใจในธรรมอันแท้จริงของตน ขึ้นมาอย่างชัดแจ้งในมโนภาพ 
ดังนั้นธรรมอริยสัจมันจึงเป็น "ปรากฏการณ์" 
ในการเกิดขึ้นในความเป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาแห่งธรรมอันคืออริยสัจทุกครั้ง 
ที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในการพิจารณาธรรมนี้
 
 ด้วยเหตุผลดังกล่าว 
ก็โดยสภาพแห่งธรรมอันคืออริยสัจ 
ที่เราได้พิจารณาและเกิดความเข้าใจในธรรมดังกล่าว 
มันจึงเป็นเพียงธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่งไปในการพิจารณา 
มันจึงยังไม่ใช่สภาพธรรมอันคือธรรมชาติอันแท้จริง 
ซึ่งมันคงมีแต่ความว่างเปล่าเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น 
เมื่อกล่าวตามสภาพความเป็นจริง ธรรมอันคืออริยสัจที่เกิดขึ้น 
มันจึงหาใช่ความหมายในความเป็นตัวเป็นตนไม่ 
ธรรมชาติแห่งธรรมที่แท้จริงมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมัน 
ตามสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จึงหามี 
"ธรรมอันคืออริยสัจ" นี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงไม่ จึงเสมือนว่า 
มันไม่เคยมีความปรุงแต่งธรรมอันคืออริยสัจนี้ เกิดขึ้นมาก่อนเลย 
มันคงมีแต่ธรรมชาติอันแท้จริง คงทำหน้าที่ ใน 
"ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่อย่างนั้น"
 
 นี่
ก็เป็นเหตุผลเดียวตามความเป็นจริง ที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อ 
ได้ตอบคำถามต่อจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ ที่ได้ถามปัญหาธรรมต่อท่าน 
ในคราวที่ท่านได้เดินทางมาสู่แผ่นดินจีนที่เมืองกวางโจวใหม่ๆ 
และท่านได้รับการนิมนต์เข้าไปยังเมืองหลวง ก็จักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้องค์นี้ 
มีความศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก 
แต่ท่านก็ได้เอาแต่ทำบุญก่อสร้างวัดวาอาราม 
โดยมิได้ใส่ใจในการศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง 
ก็ในคราวนั้นจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ได้ถามปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า ธรรมอันคือ 
"อริยสัจ" คืออะไร ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อได้ตอบไปว่า "ไม่มี" 
คำตอบอันเป็นความจริงโดยสภาพแห่งธรรมมันเอง 
กลับทำให้จักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้เกิดความขุ่นเคืองพระทัย 
ก็ความเป็นจริงโดยสภาพแห่งธรรมอันคือธรรมชาติอันแท้จริงนั้น 
มันย่อมไม่มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ตามธรรมชาตินั้นมันย่อมเป็น 
ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น 
หามีธรรมใดๆหรือสิ่งใดๆจะเกิดขึ้นในความว่างเปล่าตามธรรมชาตินี้ 
ก็หาได้มีไม่ เพราะฉะนั้นการที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อ 
ได้ตอบจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ไปว่า "ธรรมอริยสัจ" นั้น "ไม่มี" 
จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นความถูกต้องตามธรรมชาติว่า 
จะหาความมีตัวตนในธรรมอริยสัจนี้ไม่ได้แม้แต่น้อยเลย 
ธรรมอริยสัจนี้มันจึงเป็นความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ของมันอยู่อย่างนั้น 
หาเคยมีมันเกิดขึ้นไม่
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น