| 
 
บทที่ 27 พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้แสดงธรรมอะไรเลย
 ธรรม
ทั้งหลายที่ปรากฏมาในพระไตรปิฎก ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น 
สามารถแบ่งแยกแยะออกเป็นชนิดแห่งธรรมได้สองประเภท คือ 
ธรรมที่มีคุณลักษณะเป็นสังขตธาตุ ซึ่งคือธรรมธาตุที่มีลักษณะปรุงแต่ง 
เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปโดยตัวมันเอง และธรรมที่มีคุณลักษณะเป็นอสังขตธาตุ
 ซึ่งคือธรรมธาตุที่มีลักษณะ 
ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันเองอยู่อย่างนั้น 
ก็ด้วยความที่พระพุทธองค์มาตรัสรู้และประกาศธรรมใน "กลียุค" 
เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในยุคนี้ 
ล้วนเป็นผู้มืดบอดไร้ซึ่งความมีปัญญาอันแท้จริง 
จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระพุทธองค์ต้องตรัสธรรมอันเป็นสังขตธาตุ คือ 
ธรรมว่าด้วยความมีความเป็น ความเป็นตัวเป็นตน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง 
ถึงแม้ธรรมเหล่านี้จะไม่ใช่ธรรมที่เป็นเหตุให้พ้นจากกองทุกข์ได้ 
แต่ด้วยการที่พระพุทธองค์ทรงมีความเมตตากรุณา แก่หมู่สัตว์น้อยใหญ่ 
ผู้ที่ยังต้องจมปลักอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งตน 
และจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ 
โดยไม่อาจมีเหตุปัจจัยที่จะหลุดพ้นในยุคที่ 
พระพุทธองค์กำลังประกาศศาสนาได้เลย พระพุทธองค์จึงจำเป็น 
ต้องตรัสธรรมอันคือสังขตธาตุไว้ในทุกลักษณะ 
เพื่อความเหมาะสมแก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เข้ามารับธรรมนั้น
 
 พระ
พุทธองค์ทรงตรัสเรื่อง การกระทำกรรมและการรับผลแห่งกรรม 
เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังไม่มีปัญญามากพอ 
ที่จะเรียนรู้ศึกษาถึงธรรมซึ่งคือความเป็นจริงตามธรรมชาติได้ 
รับธรรมเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อให้เห็นคุณและโทษ 
แห่งการที่ตนได้ยึดมั่นถือมั่นและได้กระทำกรรมต่างๆเหล่านั้นออกไป
 
 พระ
พุทธองค์ท่านทรงตรัสเรื่องการรักษาศีล 
เพื่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พอจะมีปัญญา 
แยกแยะถึงเหตุและผลได้พิจารณาถึงสภาพจิตใจของตน 
และให้ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยเหล่านี้ ได้ปรับปรุงสภาพจิตใจของตนเอง 
ด้วยศรัทธาที่จะงดเว้นการปรุงแต่งจิตของตน 
ไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแห่งใจตน 
และเพื่อความสงบสุขในสังคมที่ตนเองได้ดำรงชีวิตอยู่
 
 พระพุทธองค์ท่าน
ทรงตรัสเรื่องการเจริญกรรมฐาน ก็เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย 
ที่พอจะมีปัญญาและความเพียรที่จะพัฒนาตนเอง 
ให้ไปสู่หนทางหลุดพ้นได้อย่างแท้จริงในกาลข้างหน้า 
ท่านจึงทรงแนะนำบัณฑิตเหล่านี้ 
ให้รู้จักอุบายเพื่อทำจิตใจของตนให้สงบไม่ซัดส่ายไปในทิศทางอื่น 
ก็ด้วยความสงบซึ่งเกิดจากการทำกรรมฐานนี้ 
เป็นภาวะที่ปราศจากสิ่งที่เป็นอุปสรรคของใจ 
ซึ่งมันเป็นธรรมที่เข้ามาทำให้จิตใจขุ่นมัวไป 
ในภาวะสับสนต่างๆตามเหตุตามปัจจัยแห่งมัน เมื่อจิตมีความสงบชั่วคราว 
มันก็จะเป็นบาทฐานที่จะทำให้สามารถพิจารณาธรรมต่างๆ 
ได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้นกว่าเดิม
 
 พระพุทธองค์ตรัสเรื่องธรรม
อันคือธรรมชาติ ก็เพื่อให้เหล่าบัณฑิตที่มีปัญญามากพอแล้ว 
และมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้หลุดพ้นในชาตินี้หรือชาติต่อๆไปได้ 
เข้ามาทำความเข้าใจธรรมที่แท้จริง 
ซึ่งมันเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ 
มันเป็นธรรมชาติที่นอกเหนือไปจากเหตุปัจจัย 
ที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องทนทุกข์ ไปเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้จบสิ้น
 
 ก็
ด้วยธรรมต่างๆเหล่านี้ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสมา 
และถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น 
หาใช่ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสขึ้นมาเองก็หาไม่ 
และเป็นความจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งพระพุทธองค์ด้วยนั้น 
"ล้วนมิได้แสดงธรรมอะไรเลย" 
ท่านเพียงแต่ได้ตรัสสิ่งที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ 
โดยเนื้อหาของมันเองแห่งธรรมชาตินั้นอยู่อย่างนั้น 
ธรรมบางอย่างก็มีเหตุและปัจจัยด้วยอาศัย "การที่มีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้อยู่"
 เช่นนั้นเป็นแดนเกิดแห่งธรรมนั้นๆ 
ธรรมบางอย่างก็เป็นธรรมที่เป็นสภาพอยู่นอกเหนือเหตุและปัจจัย 
ด้วยการที่มันเป็นเนื้อหาของมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น 
โดยมิต้องอาศัยเหตุและปัจจัยใดๆเป็นแดนเกิดแห่งธรรมนั้น 
การตรัสธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 
จึงเป็นเพียงการหยิบยกธรรมซึ่งมีเหตุปัจจัย 
ให้ท่านได้ตรัสในขณะนั้นขึ้นมากล่าว ตามสภาพแห่งธรรมในขณะนั้น 
ตามความเป็นจริงตามเหตุตามปัจจัยแห่งมัน
 
 ก็ด้วยความเป็นพุทธวิสัย
แห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมาโปรดบรรดาสรรพสัตว์โดยรอบบารมีแห่งตน 
ในเส้นทางแห่งการสั่งสมบารมีของความเป็นพุทธะ 
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานนับไม่ถ้วนแห่งอสงไขย 
ตามธรรมธาตุแห่งคุณลักษณะในความเป็นพุทธะของแต่ละองค์นั้น 
การกระทำกุศลกรรมในทุกภพทุกชาตินั้น 
จึงเป็นไปในลักษณะเพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้การกระทำดังกล่าวนั้น 
เป็นผลกรรมเพื่อมาแสดงเป็นกรรม "ตามวาระ" 
และให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ตรัสถึงกรรมและธรรมนั้น 
และเนื้อหากรรมทั้งหมดทุกภพทุกชาติที่ผ่านมา 
มันจะถูกกรองด้วยระบบกรรมวิสัยโดยตัวมันเอง 
เพื่อให้พระพุทธเจ้าองค์นั้นๆได้ตรัสเรื่องกรรมและธรรมต่างๆนั้น 
ได้ครบทั้งหมดในความเป็นธรรมธาตุแห่งธรรมนั้นๆโดยถ้วนทั่ว 
เพราะฉะนั้นในรอบบารมีแห่งการที่จะมีพระพุทธเจ้า 
องค์ใดองค์หนึ่งลงมาตรัสแสดงธรรม 
เพื่อทำหน้าที่โปรดบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในรอบบารมีแห่งตน 
จึงเป็นการลงมาด้วยบารมีที่เป็นความเต็มพร้อมครบถ้วน 
แห่งเหตุและปัจจัยในทุกด้าน 
แห่งเนื้อหาลักษณะกรรมและลักษณะธรรมอย่างลงตัวไม่ขาดเกิน 
เพราะฉะนั้นเหตุและปัจจัยที่ทำไว้อย่างพร้อมเพรียง 
จึงเป็นเหตุและปัจจัยในทุกย่างก้าวที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ 
ได้ทรงเสด็จดำเนินไปบนเส้นทางที่บริบูรณ์พร้อม 
เป็นความพร้อมอย่างลงตัวที่จะทำให้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย 
ได้หยิบยกเหตุปัจจัยในกรรมและธรรมเหล่านี้ขึ้นมาตรัส 
จนครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง แห่งเนื้อหาในการโปรดบรรดาสรรพสัตว์ในรอบของตน 
เพราะฉะนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสนั้น 
มันจึงเป็นเหตุปัจจัยที่พร้อมเพรียงและเรียงหน้ากันเข้ามา 
เพื่อเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ได้ทรงหยิบยกขึ้นมาตรัส 
จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายที่ทรงเสด็จปรินิพพานจากโลกนี้ไป
 
 ธรรมมันจึง
เป็นความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ 
พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีหน้าที่เพียงเข้าไปหยิบธรรมเหล่านี้ 
ขึ้นมาตรัสสอนด้วยความรอบรู้แห่งตน 
เพื่อโปรดบรรดาสรรพสัตว์ตามเหตุและปัจจัยนั้นๆแต่เพียงเท่านั้น
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น