บทที่ 15 วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ
ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์
ในราตรีแห่งการตรัสรู้คืนนั้น เพื่อไปสู่ฐานะความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบาน ก่อนใครอื่นในห้วงเวลานี้ตามวาระกรรมแห่งตน
ท่านสิทธัตถะได้ละทิ้งหนทางอันทำให้ท่านหลงผิดไป
ในความเข้าใจว่าการกระทำของท่าน ณ เวลานั้น
มันคือหนทางอันจะทำให้ท่านพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
ก็ด้วยบุญกุศลที่เป็นเหตุปัจจัยเดียวอันสูงสุดที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า
กำลังจะแสดงเนื้อหากรรมแห่งมัน ซึ่งเป็นบุญกุศลที่สั่งสมถึงพร้อมแล้ว
อันเนื่องมาจากความตั้งใจมั่นอย่างยิ่งยวด
ในความประพฤติดำรงตนของตนเองในฐานะมนุษย์ ผู้ที่ได้ชื่อว่า
"บรมมหาโพธิสัตว์" ในเส้นทางแห่งความดีนั้น
เพื่อมาช่วยรื้อขนหมู่สัตว์ข้ามฝั่งห้วงโอฆะในกลุ่มกรรมวิสัยของท่าน
เหตุในบุญกุศลเหล่านี้จึงช่วยดลบันดาลให้ท่านสิทธัตถะ
ละทิ้งวิธีทรมานตนอันเป็นมิจฉาทิฐิ
ซึ่งเป็นที่ยอมรับนำมาปฏิบัติทั่วไปในยุคนั้น
มาสู่หนทางความเป็นจริงตามที่มันควรจะเป็นไปในเส้นทางสัมมาทิฐิ
ก็หลังจากที่ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
เพื่อละทิ้งข้อวัตรอันเป็นไปด้วยความงมงายเหล่านั้นไปเสีย
ท่านจึงได้หันมาพิจารณาถึงสภาพทุกข์ที่แท้จริง
และวิเคราะห์ถึงสาเหตุแห่งการเกิดความทุกข์นั้นอย่างตรงไปตรงมา
ท่านสิทธัตถะจึงรู้ว่าปัญหาทั้งปวง
เกิดจากความไม่รู้ของท่านเองที่เข้าไปยึดความเป็นขันธ์ทั้งหลาย
จนก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน ปรุงแต่งเป็นตัวตนของท่าน
และปรากฏเป็นสิ่งอื่นๆในความคิดที่ปรุงขึ้นนั้น
การจดจำและการบันทึกเรื่องราวที่ปรุงแต่งเกิดขึ้น
และได้แสดงกระทำออกมาในทุกๆภพ ทุกๆชาตินั้น
เป็นความยึดมั่นถือมั่นบนพื้นฐานแห่งอุปนิสัยของท่านเอง ในความชอบ ความชัง
ที่สั่งสม อุปนิสัยที่สั่งสมมาจนเป็นสัญลักษณ์ในเชิง "อัตวิสัย"
ว่าท่านเป็นคนคนนี้ เป็นคนแบบนี้ อนุสัยที่หมักดองมานานในกมลดวงจิต
ในการกระทำซ้ำตามความชอบความชังแห่งตน ก็ได้กลายเป็นอวิชชาที่หนาแน่น
พาท่านไปเวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วนแห่งอนันตอสงไขยเวลา
และด้วย
ปัญญาแห่งพุทธวิสัยของท่านที่สั่งสมมาเนิ่นนาน
ซึ่งเป็นปัญญาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างลุล่วงตามความเป็นจริง
จึงทำให้ท่านสิทธัตถะมองเห็นว่า
แท้จริงก็เพราะความไม่รู้ของท่านเองที่ยังมองเห็นว่า มีขันธ์ทั้งห้า คือ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นอยู่
การเกิดขึ้นแห่งขันธ์ด้วยความไม่รู้นี่เอง
เป็นการเกิดขึ้นที่พร้อมจะเป็นเหตุปัจจัยเป็นสายทอดยาว
เพื่อไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์เหล่านี้
จนก่อให้เกิดการปรุงแต่งและกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา
ท่านจึงได้พิจารณาเล็งเห็นด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ณ เวลานั้นว่า
แท้จริงโดยธรรมชาติมันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน
ย่อมไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะก่อเกิดขึ้นในธรรมชาตินี้ได้เลย
มันย่อมไม่มีแม้กระทั่งความเป็นขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น
เพื่อจะเข้าไปยึดให้เป็นตัวเป็นตนเป็นท่านขึ้นมาได้อีก
เพราะท่านได้เข้าใจในความหมายแห่งธรรมชาติอย่างแท้จริงว่า
ธรรมชาตินั้นมันได้ทำหน้าที่ของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที
ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเป็นมันไปเป็นอย่างอื่น
ความมีความเป็นตัวตนที่ก่อเกิดในความหลงว่ามีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น
มันเป็นความหลงในอวิชชาของสัตว์ผู้มืดบอด อย่างท่านเองแต่ผู้เดียวเท่านั้น
ซึ่งความมืดบอดของท่านมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว
มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เมื่อท่านได้ตระหนักชัดและซึมซาบ
กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนในธรรมชาตินั้น
การรู้อย่างแท้จริงในการแก้ไขปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหมดจด
ในวิถีธรรมชาติซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุทั้งหลาย
ก็ทำให้ท่านสิทธัตถะได้อยู่ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า นาม "พุทธโคดม"
ผู้ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ในธรรมธาตุแห่งธรรมชาตินั้นก่อนใครอื่น
จึงเป็นเรื่องปกติในความเป็น
ไปแบบนั้นอยู่แล้ว เมื่อพระพุทธองค์ทรงออกประกาศธรรม
และทรงอบรมสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
ท่านทรงเลือกที่จะชี้ตรงไปยังธรรม
อันคือความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแต่ถ่ายเดียว
ซึ่งเป็นหนทางอันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงอย่างแท้จริง
ในพระสูตรทุกๆพระสูตร ที่ปรากฏมาในพระไตรปิฎกที่พระองค์ทรงตรัสสอนไว้
และทำให้เหล่าพราหมณ์นักบวชนอกศาสนาทั้งหลายในยุคนั้น
ได้มองเห็นแสงสว่างแห่งธรรมธาตุอันบริสุทธิ์
ก็ล้วนแต่มีเนื้อหาไปในทางเดียวกัน
ในความที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแต่เพียงเฉพาะ
ธรรมอันคือเนื้อหาธรรมชาติเท่านั้น ท่านทรงตรัสเพียง ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น หามีตัวตนไม่ หาใช่ตัวใช่ตนไม่
ความอนิจจังไม่เที่ยงแห่งขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ มีความหมายไปในทางที่ว่า
มันไม่เคยมีขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งหมายความถึง
มันไม่เคยมีความปรากฏแห่งขันธ์เกิดขึ้น
เพื่อเป็นเหตุปัจจัยอันอาจจะทำให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่น จนกลายเป็น ตัณหา
อุปาทาน ขึ้นมาได้ ซึ่งหมายความถึง ความไม่ปรากฏอะไรเลยสักสิ่งเดียว
มันคงไว้แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมัน
ที่มันทำหน้าที่แสดงเนื้อหาของมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว
ซึ่งหมายถึง ธรรมชาตินั้นมันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า
ไร้ความเป็นตัวเป็นตนแบบเสร็จสรรพเด็ดขาดถ้วนทั่ว
โดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกเริ่ม
มันเป็นธรรมชาติที่มีความอิสระเด็ดขาด ไม่อยู่ภายใต้การดำริริเริ่ม หรือ
ความครอบครองครอบคลุม ของภาวะใดๆแม้สักอณูธรรมธาตุเดียว
มันเป็นความเกลี้ยงเกลาในความว่างเปล่าปราศจากความเป็นตัวเป็นตน
ของมันอยู่แบบนั้นโดยความเป็นธรรมชาติ
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหมู่เวไนยสัตว์แต่เพียงเท่านี้
การสอนเพื่อชี้ทางมุ่งไปสู่วิถีธรรมชาติที่มันมีอยู่แล้วนั้น
มันเป็นเพียงการทำความเข้าใจในปัญหาแห่งตนเอง
และลุกหนีออกจากสภาพปัญหาไปสู่ความเป็นธรรมชาติแต่เพียงเท่านั้น
วิถีธรรมชาตินี้จึงไม่ใช่รูปแบบที่จะต้องประกอบขึ้นด้วยอะไรกับอะไร
มันจึงไม่ต้องมีอะไรตระเตรียมกับสิ่งใด
เพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้น การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
มันจึงเป็นเพียงการทำความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง
จนหมดความลังเลสงสัยในธรรมทุกภาวะธรรม
ซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดในทุกอณูธรรมธาตุ
เพื่อคลายตัวเองออกจากภาวะการปรุงแต่งทั้งปวง
ได้อย่างแนบเนียนตามวิถีธรรมชาตินั้น
เป็นการคลายเพื่อความเป็นไปในธรรมชาตินั้นๆอย่างกลมกลืน
ไม่มีส่วนต่างที่อาจจะแบ่งแยกออกมาเป็นสิ่งๆตามความไม่รู้ได้อีก
ด้วย
วิถีธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงชี้สอน
เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ผู้มืดบอดได้เดินไปในหนทางธรรมชาตินั้น
มันจึงเป็นความหมายแห่ง วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ
มันจึงเป็นความหมายแห่ง วิถีพุทธะสู่ความเป็นพุทธะ มันจึงเป็นความหมายแห่ง
วิถีแห่งจิตสู่จิต เป็นวิถีจิตสู่จิตที่เหล่าคณาจารย์แห่งเซนทั้งหลายในอดีต
ได้กล่าวเรียกขานในวิถีธรรมชาติ
ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่คณาจารย์ได้หยิบยกขึ้นมา
เพื่อคุ้ยเขี่ยธรรมให้แก่ลูกศิษย์ของตน มายาวนานตราบจนถึงทุกวันนี้
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น