| 
 
บทที่ 42 ปฏิบัติตามธรรมชาติ
 "ผู้ที่มีความตั้งใจที่จะเข้าถึงความหลุดพ้น จากกรรมวิบากความทุกข์ทั้งปวง เขาจะต้องปฏิบัติอย่างไร"
 
 วิธี
ปฏิบัติที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติไปตามความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งจิต 
เพราะแท้จริงแล้วจิตเป็นรากเหง้าแห่งความเป็นธรรมชาติ 
ของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นความเจริญเติบโตของสิ่งทั้งปวง 
ที่ล้วนออกมาจากความเป็นจิตที่แท้จริง ดังนั้นถ้าท่านเข้าใจในความเป็นจิต 
ทุกๆสิ่งก็ถูกรวมไว้ในจิตนี้หมดแล้วเช่นกัน 
จิตอันคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ มันเสมือนเป็นรากของต้นไม้ 
เพราะผลดอกกิ่งก้านสาขาและใบ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของความเป็นต้นไม้ทั้งหมด 
ล้วนอาศัยรากของมัน รากเป็นส่วนที่หาอาหารมาหล่อเลี้ยงลำต้น 
เพื่อให้ดอกใบเจริญเติบโตงอกงาม ถ้าบำรุงที่รากของมัน 
ต้นไม้ก็มีความเจริญเติบโตด้วยความอุดมสมบูรณ์ ถ้าท่านตัดราก ต้นไม้ก็ตาย
 
 คน
ที่เข้าใจจิตของตนว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมออกมาจากจิตของตน 
และทุกๆสรรพสิ่งกับจิตนี้ ย่อมมีความเสมอภาคมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกัน 
ในความเป็นธรรมชาติของมันมาตั้งแต่แรกเริ่ม 
คือความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น 
เมื่อเข้าใจว่าจิตเป็นธรรมชาติแบบนี้แล้ว คนคนนั้นก็สามารถบรรลุธรรม 
โดยใช้ความเพียรพยายามในการทำความเข้าใจในธรรมชาติ 
และกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับมันด้วยเหตุแห่งความเข้าใจนั้น 
โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ส่วนคนที่ไม่ปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจจิตใจของตนเอง 
ปฏิบัติธรรมไปก็ไร้ประโยชน์ ความดีหรือความเลวล้วนออกมาจากจิตของท่านเอง 
การค้นหาสิ่งภายนอกนอกจากจิตอันคือธรรมชาตินี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้
 
 "การเข้าใจความเป็นจิตของตนอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง"
 
 เมื่อ
พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ 
พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดว่า ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้า 
แท้ที่จริงมันหามีตัวตนแห่งขันธ์ธาตุทั้งหลายไม่ 
โดยธรรมชาติมันย่อมเป็นความว่างเปล่า 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้น 
และรู้แจ้งชัดว่าจิตนี้โดยธรรมชาติ 
มันคือความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น 
แต่ถ้าหากปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์แห่งจิตต่างๆที่เกิดขึ้น 
จิตเหล่านี้ก็เป็นความไม่บริสุทธิ์โดยเนื้อหามันเองอีกเช่นกัน 
จิตที่บริสุทธิ์พอใจในการกระทำความดี โดยทำไปแบบนั้นตามธรรมชาติของจิต 
แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์ก็ถูกปรุงแต่งขึ้น ตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน 
แห่งการทำความดีและการทำชั่ว 
บุคคลที่มิได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งจิตชั่ว 
คือผู้ที่เป็นอิสระแล้วในความเป็นธรรมชาติแห่งเขาเหล่านั้น 
บุคคลเหล่านี้ย่อมอยู่ในความทุกข์และในสุขอันยั่งยืน 
โดยปราศจากความแปรผันด้วยความหมดเหตุปัจจัยในการปรุงแต่ง 
เป็นความสุขในความเป็นธรรมชาติแห่งการหลุดพ้นนั้น 
ส่วนปุถุชนผู้มืดบอดย่อมถูกบีบคั้นด้วยจิตสกปรก 
และยุ่งเหยิงซับซ้อนด้วยกรรมต่างๆนานาแห่งตน เพราะจิตสกปรกแปดเปื้อนมลทิน 
ไปด้วยการปรุงแต่งในลักษณะหลากหลาย 
ย่อมปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงแห่งความเป็นเขาเหล่านั้น 
ด้วยอำนาจแห่งการปรุงแต่งจึงพาเขาต้องไปเวียนว่ายตายเกิด 
ในภพทั้งสามอยู่อย่างนั้น
 
 ในพระสูตรได้กล่าวว่า "ในความเป็นปุถุชน 
ก็มีความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่ไม่อาจทำลายมันลงไปได้ 
เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่แสงของมันได้สาดส่องไปทั่ว 
แต่เมื่อใดมันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาทึบ ด้วยเงาของขันธ์ทั้งห้า 
มันก็เหมือนแสงที่อ่อนแสงด้วยการถูกบดบังนั้น"
 
 และในพระสูตรยังกล่าว
อีกว่า "ปุถุชนย่อมมีธรรมชาติแห่งพุทธะ 
แต่มันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจมืดแห่งอวิชชา 
ความเป็นพุทธะก็คือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง 
ที่มันว่างเปล่าโดยความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น 
การรู้ชัดแจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ คือความหลุดพ้น" 
การประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมชาติแห่งจิตตน 
จึงเป็นรากฐานอันคือรากของต้นไม้ที่หาอาหารเลี้ยงบำรุงลำต้น 
จึงก่อให้เกิดต้นไม้แห่งธรรมและผลิตผลออกมาเป็นนิพพาน การเข้าใจจิตของตน 
ด้วยความหมายแห่งความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
 อันคือ สัมมาทิฐินั่นเอง
 
 "ก็ในเมื่อธรรมชาติแห่งพุทธะ มีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่ทุกขณะ(สัมมาสติ)เป็นรากเหง้า แล้วอะไรเล่าเป็นรากเหง้าแห่งอวิชชา"
 
 จิต
อันมิใช่ธรรมชาติแต่เป็นจิตที่หลงผิดไปในอวิชชา ย่อมประสบแต่ความทุกข์ 
ซึ่งเป็นความทะยานอยากไปในความชั่วร้ายอันไม่รู้จักจบจักสิ้น 
อวิชชาได้หยั่งรากลึกตัวมันเองลงไปในกิเลสทั้งหลาย คือ โลภะ โทสะ โมหะ 
ก็ในเมื่อจิตซึ่งมีอวิชชาเป็นรากเหง้า มันก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยกิเลสต่างๆ 
มันย่อมเอาความชั่วนานัปการรวมเข้าไว้ด้วยกัน 
กิเลสทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นจากอายตนะทั้งหกของเรานี่เอง 
กิเลสคือพวกโจรทั้งหลายมันผ่านเข้าออกตามทวารของรูปกาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น
 กาย ใจ และด้วยความทะยานอยากไปในตัณหา อุปาทาน 
อันไม่มีประมาณด้วยอำนาจแห่งมัน 
โจรเหล่านี้มันก็ทำให้เราหมกมุ่นอยู่ในความชั่วร้าย 
และมันสามารถปกปิดความเป็นธรรมชาติแห่งจิต อันคือจิตที่แท้จริงของเราได้ 
มันจึงทำให้เราต้องเร่ร่อนไปในภพทั้งหลาย 
และประสบแต่ทุกข์ภัยต่างๆอันหาประมาณมิได้เช่นกัน
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น