| 
 
บทที่ 17 โลกแห่งความสมบูรณ์
 การ
ปรากฏแห่งภาวะ มันจะต้องเป็นไปในทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ 
เพราะภาวะทุกภาวะแห่งการปรากฏขึ้น 
มันล้วนคือการปรุงแต่งที่เป็นผลมาจากการยึดมั่นถือมั่น 
ซึ่งเป็นความยึดมั่นที่ออกมาจากอุปนิสัยความเคยชิน 
ที่หมักหมมจนกลายเป็นอนุสัยแห่งกมลสันดาน 
ตามความชอบความชังของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่แสดงออกมาทางด้านหนึ่ง 
ก็ต้องแสดงออกไปในอีกทางด้านหนึ่งเสมอ 
ทั้งนี้เป็นเพราะอวิชชาความไม่รู้ผู้เป็นนายเรา 
มันสามารถเข้ามาแทรกซึมสิงสู่บังคับบัญชาใจของเรา 
ให้เป็นไปในทางอำนาจแห่งเนื้อหาของมันได้อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน 
นายซึ่งมีเราเป็นทาสที่คอยก้มหัวให้มันอยู่ตลอดเวลา 
ทั้งนี้เพราะความหอมหวานในมายา แห่งความเป็นตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก 
ซึ่งมันบังคับให้เราเดินไปตามทางแห่งมันทุกฝีก้าวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 
เหมือนเหรียญซึ่งมีอยู่สองด้าน เมื่อคุณกลับเหรียญด้านแห่งความรัก 
ความเกลียดชังก็จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด 
มันคือโลกแห่งปรากฏการณ์ความเป็นมายา 
เป็นโลกแห่งการเกิดขึ้นของทวิภาวะหรือภาวะแห่งความเป็นของคู่ 
มีความแปรเปลี่ยนจากภาวะหนึ่งสู่ความเป็นภาวะหนึ่งอยู่อย่างนั้น 
ก็ด้วยอาศัยเหตุปัจจัยในเหตุปัจจัยหนึ่ง เมื่อหมดในเหตุปัจจัยนั้นๆแล้ว 
เหตุปัจจัยใหม่จึงเข้ามาแทนที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ 
มันเป็นภาวะที่มาแล้วต้องจากไป มันไม่เคยมีความคงทนไม่เคยมีความสมบูรณ์แบบ 
ที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป 
โลกแห่งปรากฏการณ์จึงเป็นโลกที่มีแต่ความพร่องอยู่เป็นนิจ 
และในความพร่องนี้เองที่ทำให้มนุษย์ปุถุชนผู้มีความมืดบอด 
พยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาเติมเต็มในความพร่องนั้น 
ด้วยความไม่รู้และความอยากแห่งตน 
ซึ่งแท้จริงมันก็ไม่มีวันที่จะทำความพร่องซึ่งอยู่ในสภาพถาวรนี้ 
ให้เต็มเปี่ยมขึ้นมาได้ มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย 
ก็โดยรูปลักษณ์ของตัวมันเองในทวิภาวะ หรือความเป็นภาวะแห่งความเป็นคู่ 
ไม่ว่าจะเป็น ดีหรือชั่ว มืดหรือสว่าง สมหวังหรือผิดหวัง สะอาดหรือสกปรก 
ความร้อนหรือความเย็น ปฏิบัติหรือไม่ได้ปฏิบัติ รู้แจ้งหรือมืดมัว 
บรรลุหรือไม่บรรลุ 
มันย่อมไม่สามารถคงความเป็นสภาพของมันให้อยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป 
เพราะโดยแท้จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมายาหามีตัวมีตนไม่ 
เมื่อหมดเหตุปัจจัยที่ทำให้มันได้แสดงปรากฏการณ์ของมันออกมา 
มันก็หยุดการทำหน้าที่ของมันโดยสภาพของมันเองอยู่แล้ว 
มันจึงเป็นความพร่องที่พร่องอยู่เป็นนิจโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น 
ก็โดยเนื้อหามันมันจึงไม่มีทางที่จะกลายเป็นอื่นไปได้
 
 หากเราหยั่ง
ลึกลงไปให้ถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
ที่มันมีแต่เนื้อหาตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้นในทางด้านเดียว 
และไม่มีวันที่จะเป็นไปในทางด้านอื่น ธรรมชาติมันจึงมิใช่ปรากฏการณ์ 
ธรรมชาติไม่ใช่เป็นอะไรที่มันหมายถึงความเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง 
และสิ่งสิ่งนั้นเราสามารถที่จะมีความรู้สึกกับมัน 
และจับฉวยมันเอามาเป็นส่วนส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา 
ตามความต้องการและความปรารถนาของเราได้ 
ธรรมชาติมิใช่เป็นสิ่งที่เราต้องมีความต้องการ 
และมิใช่เป็นสิ่งที่จะต้องได้มันมา 
ธรรมชาติมันเป็นเนื้อหาที่เป็นความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น 
โดยมิใช่ความเป็นเนื้อหาที่ต้องอาศัยเหตุและปัจจัยใดๆ 
จึงจะมีความเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติเกิดขึ้น 
ก็ธรรมชาตินั่นแหละคือธรรมชาติ
 มันเป็นแต่เพียงเท่านี้ 
ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้เช่นเดียวกัน เมื่อมันมิได้อาศัยอะไร 
มิได้อาศัยเหตุปัจจัยใดๆ มันจึงมิได้เกิดจากอะไรกับอะไร 
มันจึงไม่มีรูปลักษณ์เกิดขึ้นที่จะสามารถเรียกมันได้ว่า "ธรรมชาติ" 
ตามมโนภาพแห่งความเข้าใจของใครคนใดคนหนึ่ง 
ธรรมชาติมันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้น 
ธรรมชาติมันจึงเป็นเนื้อหาเดียวกับมันเองมาโดยตลอด 
โดยไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้ 
โดยไม่สามารถหาความเป็นที่สิ้นสุดแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้เช่นกัน 
เมื่อมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีความแปรผันเป็นอย่างอื่น 
มันจึงเป็นความสมบูรณ์พร้อมโดยตัวมันเองแต่ถ่ายเดียว 
มันเปรียบเสมือนเป็นเหรียญที่ไม่ว่าจะพลิกไปทางไหน 
ก็จะเจอแต่เหรียญด้านที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น 
เป็นเหรียญที่ทุกด้านล้วนแต่มีความเสมอภาคกัน 
มีความเหมือนกันไม่แตกต่างในเนื้อหาในคุณลักษณะของมันเอง 
ธรรมชาติจึงเป็นโลกแห่งความสมบูรณ์พร้อม 
เป็นความสมบูรณ์ในความเสมอต้นเสมอปลาย 
ในความเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้น 
เป็นโลกแห่งธรรมชาติที่มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายผู้ที่มีความสามารถและมีสติปัญญาอันรู้แจ้ง 
ได้สถิตอยู่ในทุกอณูธรรมธาตุ แห่งผืนแผ่นดินในความเป็นพุทธะนั้น
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น