บทที่ 14 "ตถตา" มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น
เมื่อพวกเธอ
ตัดสินใจเดินบนเส้นทางธรรมชาติ 
ด้วยความมั่นใจของพวกเธอเองที่คือความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาตินั้นอันจะทำ
ให้พวกเธอไม่หันหลังกลับไปในหนทางที่มืดมัวอีก 
ซึ่งจะพาให้พวกเธอหลงทางไปในทิฐิอื่นๆที่ไม่ใช่สัมมาทิฐิ 
ศรัทธาที่ออกมาจากหัวใจอันแกร่งกล้าเด็ดเดี่ยวของพวกเธอ 
ซึ่งทำให้พวกเธอร้องอุทานออกมาว่า "นี่ใช่หนทางอันแท้จริงแล้ว" 
แล้วรีบก้าวเดินรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง 
กำลังใจทั้งมวลที่ออกมาจากใจของพวกเธอนั้น 
คือพลังแห่งธรรมธาตุต่างๆซึ่งมันอยู่ในฐานะเป็นอินทรีย์แห่งธรรม 
ที่ช่วยผลักดันให้พวกเธอได้ทำความเข้าใจตระหนักชัด 
ในเนื้อหาธรรมชาติได้อย่างชัดแจ้ง 
และมันจะช่วยผลักดันให้พวกเธอได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน 
แบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นด้วยการ "ซึมซาบ" ซึ่งหมายถึง 
ความเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งหมายถึง ความเป็นเนื้อหาเดียวกัน 
ชนิดที่ไม่อาจแบ่งแยกออกได้เป็นสองสิ่ง หรือ หลายๆสิ่งมากกว่านั้น 
ซึ่งมันไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ว่า นี่คือ พวกเธอ นี่คือ 
ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ในเนื้อหานั้น แต่มันทำให้ซึมซาบแบบกลมกลืนไปในทาง 
ไม่มีความแตกต่างใดๆเลยอย่างเด็ดขาด ในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ 
เพราะว่ามันก็เป็นของมันเช่นนั้นเองอยู่อย่างนั้น 
เป็นการซึมซาบที่ไม่อาจจะใช้ "เหตุและผลใดๆทั้งปวง" 
เข้ามาวิเคราะห์เพื่อรองรับเนื้อหาการซึมซาบในธรรมชาตินี้ได้อีก 
เมื่อสามารถซึมซาบกับมันแล้วด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง 
ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นตามธรรมชาติของมัน 
ตามที่มันจะเป็นไปตามเนื้อหาของมันเอง 
มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว
ธรรมชาติดั้งเดิมแท้
นี้ มันเป็นธรรมชาติที่แสดงเนื้อหาแห่ง 
"ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน" 
มาก่อนอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งมัน 
มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แบบนั้น ความเป็นธรรมชาติของมัน 
ซึ่งมีความหมายถึง มันมิได้เป็นเนื้อหาที่เกิดจากอะไรกับอะไร 
หรือเกิดจากที่มีใครอะไรที่ไหนสักคนที่มีความสามารถมาทำให้มันเกิด 
แต่มันเป็นธรรมชาติที่มีเนื้อหาสมบูรณ์แบบอยู่แล้วของมันมาตั้งแต่ต้น 
มันสมบูรณ์แบบขนาดที่ว่า ไม่ต้องมีใครมาเสริมเติมแต่งในเนื้อหาของมันอีก 
มันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตน 
"แบบเสร็จสรรพเด็ดขาด" ในเนื้อหาของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีของมันเอง 
มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวตน "แบบตลอดสาย" 
ถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุอยู่แล้วโดยตัวมันเอง 
โดยไม่ต้องมีใครเอามือส่วนที่เกินแห่งตน 
มาพยายามทำความปะติดปะต่อให้กับความว่าง 
ให้มันว่างไปตลอดสายถ้วนทั่วสมดั่งที่ใจของเขาคนนั้นปรารถนา 
มันเป็นความว่างแบบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วโดยไม่มีความพร่อง 
ดังนี้มันจึงไม่ต้องการให้ใครมาเติมเต็มอะไรให้มันเต็มจนล้นออกมาอีก 
ดังนี้ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรถ้าจะก่อให้เกิดความพยายามใดๆ 
และความพยายามนั้นมันจะก่อให้เกิดไปในทางความหมายอื่น 
ซึ่งมันเป็นความพยายามที่จะทำให้ ความหมายของธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น 
มันปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในความเข้าใจผิด และตามความต้องการของพวกเธอเอง 
"ความพยายาม" เหล่านี้ที่พวกเธอพยายามผลิตออกมา ล้วนเป็น "จิตปรุงแต่ง" 
ของพวกเธอทั้งสิ้น มันเป็นความพยายามที่เข้ามา "บดบัง" 
ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้เสียแต่เพียงเท่านั้น 
ก็ด้วยธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันบริบูรณ์สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว 
โดยเนื้อหามันเองอยู่อย่างนั้น 
มันจึงปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับมัน 
ในทุกทางและทุกแง่ทุกมุม
เมื่อพวกเธอมีความเข้าใจตระหนักชัด 
ในธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวตน 
ก็เพียงแค่พวกเธอปล่อยให้ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ 
มันทำหน้าที่ของมันเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการที่เธอ "ได้ซึมซาบและกลมกลืน"
 กับมันแล้ว ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ 
มันก็จะทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ไม่มีความตกบกพร่องเลย 
มันก็จะปรากฏเนื้อหาของมันตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น "ไม่เป็นอื่น" 
มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน 
แบบเสร็จเด็ดขาดอยู่อย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น 
"อยู่แล้ว" นี่คือ ตถตา ซึ่งคือ 
ธรรมชาติแห่งความหลุดพ้นจากภาวะการปรุงแต่งทั้งปวง 
ได้อย่างอิสระเด็ดขาดโดยเนื้อหาตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อ
พวกเธอตระหนักชัดและสามารถซึมซาบ 
กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ได้อย่างกลมกลืน 
ก็เท่ากับว่าพวกเธอทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของพวกเธอเอง 
ในความที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว 
พวกเธอได้ทำหน้าที่ "มนุษย์" ได้สมความภาคภูมิอย่างไม่มีที่ตำหนิ 
หลังต่อจากนี้ไป สิ่งใดๆที่พวกเธอจะหายใจและมีชีวิตอยู่ 
ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่แบบไม่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน 
ทนแบกความทุกข์ระทมอีกต่อไป 
ลมหายใจนั้นก็กลายเป็นลมหายใจแบบอุ่นๆกรุ่นละมุน ที่มันถูกฟอกออกมาจาก 
"หัวใจแห่งพุทธะ" อันบริสุทธิ์ของพวกเธอเอง 
ขาสองข้างของพวกเธอที่ยืนเหยียบบนโลกใบนี้ 
มันก็จะกลายเป็นการยืนได้อย่างมั่นใจ 
ในการที่พวกเธอจะดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แบบถูกทิศถูกทาง "เหมาะสมลงตัว" 
ตามที่มันควรจะเป็นไป ในฐานะที่พวกเธอเป็น "มนุษย์" ผู้มีใจสูงและประเสริฐ
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น