บทที่ 37 จิตสู่จิต
ตราบใดที่ท่านยังไม่เข้าใจพุทธะที่แท้จริง 
หนทางที่ท่านเดินมันก็ยังคงเป็นหนทางที่ ได้สร้างกรรมให้กับตนเองอยู่ร่ำไป 
หนทางนี้จะพาให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น 
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เต็มใจก็ตามที 
แต่เมื่อท่านได้ประจักษ์ในความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว 
ธรรมชาตินี้ก็จะพาท่านหยุดสร้างกรรม และก็ไม่ต้องไปตายไปเกิด
ท่าน
อาจารย์ของฉัน คือ ท่านมหาปรัชญาตาระ ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 27 
ท่านได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดรอยประทับจิตซึ่งเป็นการถ่ายทอดจิตสู่จิต 
เป็นการถ่ายความเข้าใจคือความเป็นจริงในธรรมชาติ 
มาสู่ความเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นจิตของฉันเอง 
ดังนั้นการที่ฉันมาสู่ประเทศจีน ก็ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวก็คือ 
การถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้แก่ชนชาวจีนได้สืบทอดธรรมเหล่านี้ต่อไป
ก็
 "จิต" ที่พูดถึงนี่เองคือพุทธะ 
มันมิใช่จิตที่เป็นภาวะแห่งการเคลื่อนไหวไปในปรากฏการณ์ต่างๆ 
แต่มันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง จิตสู่จิต 
ก็คือความชี้ตรงถึงความเป็นธรรมชาติ สู่ความเป็นธรรมชาติของพวกท่านเอง 
เมื่อจิตนี้คือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ 
มันจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มิได้เกี่ยวกับการถือศีล การให้ทาน 
หรือการเคร่งครัดในข้อวัตรแบบฤาษี เป็นการทานข้าววันละมื้อ การเข้าฌาน 
การบำเพ็ญเหล่านี้เป็นความคลั่งไคล้ 
ซึ่งคุณเอาจิตของคุณเองเข้าไปยึดติดโดยความชอบ 
และคิดว่ามันคือสิ่งที่จะทำให้ความเป็นพุทธะเกิดขึ้นได้ 
ความคลั่งไคล้เหล่านี้เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งความเป็นภาพพจน์แห่งพุทธะ 
ให้เกิดขึ้นตามจินตนาการของเขา ที่ออกนอกเส้นทางความเป็นธรรมชาติไป 
เมื่อท่านได้หยุดพฤติกรรมการจินตนาการถึงพุทธะเหล่านี้ทิ้งไปเสีย 
แล้วหันหน้าเผชิญกับความเป็นจริง 
ตามที่ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว 
จิตอันคือการรู้แจ้งแห่งธรรมชาติเหล่านี้ 
ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระพุทธเจ้า
ทั้งในอดีตและอนาคต ล้วนแต่กล่าวถึงการถ่ายถอดเรื่องจิต 
พระพุทธองค์ไม่สอนธรรมชนิดอื่นเลย 
ท่านสอนแต่ความเป็นจริงตามธรรมชาติเท่านั้น 
และถ้าหากผู้ใดเข้าใจและเข้าถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ 
ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้อะไรเลย และไม่สามารถอ่านหนังสือออกได้ 
แต่ความเป็นจริงที่พวกเขาได้ตระหนักชัด 
ที่ทำให้เขาเป็นพุทธะที่แท้จริงได้คนหนึ่ง 
แต่ถ้าท่านไม่พบความเห็นแจ้งอันคือธรรมชาติแห่งตน 
ไม่เห็นธรรมชาติแห่งการตื่นออกมาจากการหลับใหลมืดมิด 
ท่านก็จะไม่พบพระพุทธเจ้าเลย 
และไม่มีวันที่จะได้รู้จักความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้เลย 
ต่อให้ท่านต้องปฏิบัติอย่างหนักหน่วง 
จนทำลายตัวเองให้เป็นผุยผงย่อยยับไปเลยก็ตาม
ความเป็นพระพุทธเจ้าคือ
ธรรมชาติอันเป็นจิตดั้งเดิมของท่านนี้ มันเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่ไม่ใช่จิต 
มันเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ประกอบไปด้วยเหตุและผล 
มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน 
โดยที่ไม่อาจจับต้องมันได้ หรือไม่อาจเอาความรู้สึกของเรา 
ไปจินตนาการถึงความเป็นรูปร่างลักษณะแห่งมัน 
มันเป็นธรรมชาติที่เป็นความว่างเปล่าของจิต 
ที่รู้แจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ 
มันจึงมิใช่เป็นจิตชนิดที่ปรุงแต่งขึ้นในเนื้อหาแห่งความเป็นพุทธะ 
มันเป็นจิตที่เป็นพุทธะของมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว 
นอกจากความเป็นพระพุทธเจ้าและบัณฑิตทั้งหลาย 
ที่รู้แจ้งในธรรมชาติแห่งพุทธะนี้แล้ว ปุถุชนผู้มืดบอดไปด้วย ตัณหา อุปาทาน
 ความต้องการแห่งตน 
ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเกิดเป็นสิ่งนั้นตามที่ใจตนเองปรารถนา 
ก็จะไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความจริงตรงนี้ได้เลย 
เพราะอำนาจแห่งอวิชชาพาหลงไปในทิศทางอื่น
แต่สิ่งนี้ก็เป็นธรรมชาติ
ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งมันแห่งเรา 
รูปกายและธาตุทั้งสี่มันเป็นเพียง 
การได้อยู่อาศัยกับสิ่งเหล่านี้เพียงชั่วคราว 
และมันก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นธรรมชาติเลย 
แต่ถ้าเราปราศจากมันก็มิอาจเคลื่อนไหวไปไหนได้เลย 
ถ้ารูปกายนี้ไม่มีจิตมันจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร 
จิตอันคือธรรมชาตินี้ชื่อว่าทำให้กายนี้เคลื่อนไหวไปได้ 
การเคลื่อนไหวทั้งปวงล้วนเป็นการเคลื่อนไหวแห่งจิต 
การเคลื่อนไหวไปจึงเป็นหน้าที่ของจิต ปราศจากการเคลื่อนไหวก็ไม่มีจิต 
แต่การเคลื่อนไหวไปในทางความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนนั้น 
มิใช่เป็นการเคลื่อนไหวแห่งจิต และธรรมชาติแห่งจิตก็มิใช่การเคลื่อนไหวไป 
ในทางความหมายแห่งความมีอัตตาตัวตนดังกล่าว
เพราะฉะนั้นแล้วการ
เคลื่อนไหวไป ก็คือการเคลื่อนไหวไปแบบนั้นตามธรรมชาติ 
จิตจึงมิใช่การเคลื่อนไหวที่เป็นตัวเป็นตน 
เพราะแท้จริงแล้วธรรมชาติแห่งจิตอันคือพุทธะนี้ 
คือความว่างเปล่าแบบเสร็จสรรพเด็ดขาดในความมีอิสรภาพเหนืออื่นใด 
มันมิใช่เป็นการเคลื่อนไหวไปในความเป็นทาสแห่งความอยาก 
ที่ปรุงแต่งเป็นจิตที่เป็นภาวะอัตตาตัวตนปรากฏขึ้น 
จิตนี้มันจึงเป็นจิตตามธรรมชาติแห่งตนที่แท้จริง 
มันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ 
มันจึงเป็นจิตและเป็นการเคลื่อนไหวไปแห่งรูปกายขันธ์ธาตุ 
ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น