| 
 
บทที่ 16 เข้ามาได้เลย
 ครั้ง
เมื่อพระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ 
ได้เดินทางมาเมืองจีนตามคำพยากรณ์ของตถาคต 
สิ่งที่เป็นอุปสรรคและรุงรังขวางกั้นการเผยแผ่ธรรมของท่าน 
ก็คือพวกนักบวชของประเทศจีนในยุคนั้น 
ไม่รู้จักธรรมซึ่งเป็นคำสอนอันแท้จริงของตถาคตเจ้าเลย 
นักบวชส่วนใหญ่ล้วนแต่ศึกษาในคัมภีร์ซึ่งแต่งไว้เป็นพระสูตร 
แต่การศึกษานั้นมิได้เป็นไปในความเข้าใจข้ออรรถข้อธรรมในพระสูตรได้อย่างลึก
ซึ้งถูกต้องตรงตามธรรมธาตุแต่อย่างใด และที่แย่ไปกว่านั้น 
นักบวชเหล่านี้ได้เอาแต่นั่งอยู่ต่อหน้ารูปปั้นพระพุทธองค์ 
และนั่งสวดอ้อนวอนเพื่อหวังผลให้ได้ไปเกิด 
ในดินแดนที่มีความเป็นพระพุทธเจ้าปรากฏอยู่อย่างนั้น 
นักบวชและอุบาสกอุบาสิกา ผู้ที่มุ่งมั่นในการฝึกปฏิบัติ 
ยังมีความคิดและกระทำไปในทางที่ว่า การที่ตนเองได้หมั่นทำบุญ บริจาคทาน 
และก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 
การกระทำเหล่านี้มันเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้พวกตน 
ได้บรรลุธรรมอันคือความหลุดพ้นได้ในภายภาคหน้า
 
 แต่ความเป็นจริงตาม
ธรรมธาตุ พุทธะก็คือพุทธะที่มันเป็นจริงตามเนื้อหาของมัน พุทธะ แปลว่า 
ผู้รู้ หมายความว่า เป็นการรู้ตามความเป็นจริง 
ตามสัจธรรมที่มันปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว 
เป็นการรู้ชนิดที่เรียกว่าไม่ทำให้เราเป็นคนโง่หลงงมงาย 
หลงทางไปในข้อวัตรปฏิบัติอันเป็นความเข้าใจผิด 
และเสียเวลาไปกับมันเป็นกัปเป็นกัลป์ 
โดยไม่มีประโยชน์สูงสุดที่แท้จริงเกิดขึ้นแต่อย่างใด 
เป็นการรู้ที่ทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติอันคือความเป็นจริง 
ที่มันดำรงเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นมานานแสนนาน 
อันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้ 
ซึ่งเป็นความเข้าใจในสภาพความรู้ที่เป็นความจริงแท้ 
ตรงแน่วอยู่ในเนื้อหาแห่งธรรมชาติอันเป็นพุทธะนั้น 
โดยหามีความคลอนแคลนลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ไปในทางความหมายอื่นแม้แต่น้อย 
เป็นการรู้ชนิดที่ทำให้เราปักใจและเต็มใจ 
ที่จะอยู่กับความรู้ชนิดนี้ตลอดไปตราบชั่วกัลปาวสาน 
มันเป็นการรู้ที่เป็นเนื้อหาพิเศษด้วยคุณสมบัติเฉพาะของมัน 
เป็นคุณสมบัติที่หากใครได้เข้ามารู้แล้ว จะทำให้ผู้นั้นสลัดทิ้งเสียทั้งหมด
 ซึ่งความรู้ในเนื้อหาชนิดอื่นๆอันทำให้เดินไปในหนทางอื่น
 
 พุทธะ 
แปลว่า ผู้ตื่น หมายความถึงเป็นการตื่นออกจากภวังค์แห่งความมืดหลง ในอวิชชา
 ตัณหา อุปาทาน ที่ถูกมันครอบงำพาเท้าทั้งสองข้างของเรา 
เดินไปในหนทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดในสามโลกมาเป็นเวลานาน 
เป็นการตื่นขึ้นเพื่อพบแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณในยามเช้าของชีวิตใหม่ 
เป็นชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นด้วยคุณงามความดีถูกต้อง 
ตรงต่อความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่แท้จริง 
และมันเป็นแสงสว่างในยามเช้ารุ่ง 
ที่สาดส่องออกมาได้อย่างเจิดจ้าไม่มีวันอ่อนแสง 
เป็นแสงแห่งพุทธิปัญญาที่ส่องทางนำพาชีวิตเรา 
ให้เดินไปบนมรรคาแห่งธรรมชาติโดยไม่มีวันเดินถอยหลังกลับ 
เป็นการตื่นเพื่อลืมตามาดูธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันปรากฏอยู่ต่อหน้า
 และเป็นการตื่นโดยที่ไม่มีวันจะได้หลับใหลอีกแล้ว 
เป็นการตื่นเพื่อเป็นสภาพเดียวกันกับความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นโดยไม่มี
ความแตกต่างไปในทางความหมายอื่น 
เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนไปตามปกติอยู่อย่างนั้น 
ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมแต่อย่างใด 
เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนไปตามหน้าที่ของตนเอง 
เท่าที่ตนเองพึงมีและเต็มใจทำ 
เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนเองไปตามเหตุปัจจัย 
ที่เคยประกอบมาและตนยังต้องรับกรรมนั้นอยู่
 
 พุทธะ แปลว่า ผู้เบิกบาน
 หมายความถึงเป็นผู้ที่มีความโชคดีอย่างมาก 
เป็นผู้ที่มีบุญมีวาสนาอย่างแท้จริง 
ที่สามารถนำพาชีวิตของตนเองก้าวพ้นออกมา จากห้วงแห่งความทุกข์ระทมได้ 
เป็นความเบิกบานต่อความสุขที่ยั่งยืน 
ในความที่ธรรมชาติแห่งพุทธะได้หยิบยื่นให้กับเรามา 
เป็นความเบิกบานต่อธรรมธาตุแห่งพุทธะ 
ที่มันมีแต่ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน 
ซึ่งมันหมดเชื้อหมดเหตุหมดปัจจัย 
อันจะทำให้เข้าไปยึดมั่นปรุงแต่งขึ้นมาเป็นความทุกข์ได้อีก 
เป็นความเบิกบานที่ได้กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง 
ที่สามารถดำรงชีวิตของตนได้อย่างอิสรเสรี 
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาสของใจตน 
ที่คอยดิ้นรนไปในทางไขว่คว้าทะยานอยาก 
เป็นความเบิกบานซึ่งเป็นความสุขในทุกก้าวย่าง 
ที่เรากำลังดำเนินชีวิตก้าวไปข้างหน้า
 
 เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถทำความ
เข้าใจตระหนักได้แล้วว่า พุทธะที่แท้จริงนั้น 
ก็คือธรรมชาติที่มันเป็นสิ่งเดียวกันกับเรามาตั้งแต่ต้น เราก็คือธรรมชาติ 
ธรรมชาติก็คือเรา ก็ในเมื่อธรรมชาติคือความเป็นพุทธะ 
ความเป็นพุทธะก็คือความเป็นธรรมชาติ 
เพราะฉะนั้นเราก็คือความเป็นพุทธะมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง 
การค้นหาพุทธะก็คือการค้นหาความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง 
การดิ้นรนไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งเป็นความคิดผิดอย่างใหญ่หลวง 
การดิ้นรนแสวงหาค้นหาความเป็นพุทธะจากภายนอกนั้น 
จึงเป็นเพียงการปรุงแต่งไปในการค้นหาความเป็นพุทธะแต่เพียงเท่านั้น 
มันจึงเป็นเพียงการใช้จิตแสวงหาจิต 
มันเป็นเพียงการใช้จิตอันคือความคิดของตน 
แสวงหาจิตอันปรุงแต่งความเป็นพุทธะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจิตของตนอีกเช่นกัน 
มันจึงเป็นได้แค่เพียงเกลียวเชือกที่ยิ่งพันเข้าหาตนเอง 
แน่นหนามากขึ้นกว่าเดิม มันเป็นพันธนาการที่เกิดจากความไม่เข้าใจ 
และความมิได้ตั้งใจของนักปฏิบัติทั้งหลาย 
ที่หลงผูกปมปัญหาให้มันมากขึ้นกว่าเดิมด้วยความไม่จำเป็น 
เนื้อหาแห่งความเป็นพุทธะที่แท้จริง จึงเป็นอะไรที่ผู้ด้อยปัญญาคาดไม่ถึง 
เพียงแค่หยุดแสวงหามันในหนทางอื่น 
แล้วกลับมาทำความเข้าใจต่อเนื้อหาสภาพของมัน ตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
มันไม่ใช่และไม่มีวิธีใดๆที่เราต้องแสวงหา 
และไม่ใช่วิธีอะไรเลยที่เราต้องทำให้ปรากฏ 
หรือประกอบทำสิ่งต่างๆเพื่อให้มันเกิดขึ้น
 
 ความเข้าใจในเนื้อหา
ธรรมชาติ ซึ่งเป็นความดั้งเดิมแท้ของมันนั้น 
ความเข้าใจดังกล่าวนี้มันจะนำพาท่าน มายืนอยู่ตรงปากประตูแห่งธรรมชาตินี้ 
และก็ไม่มีวิธีใดๆอีกเช่นกัน ความเข้าใจอันหมดจดไม่มีตำหนิไร้ความสงสัย 
อันเป็นความลังเลใจที่จะพาให้ไปในหนทางอื่น 
ความเข้าใจนี้ก็จะพาเอามือของท่านผลักประตูธรรมชาตินั้น ให้เปิดออกมา 
มันมีแต่วิธีนี้เท่านั้น "วิธีผลักประตูธรรมชาติออก" 
เมื่อผลักประตูเปิดออกแล้ว ก็เอาขาของตนก้าวข้ามมาสิ ก้าวข้ามมาได้เลย 
มันไม่มีวิธีอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก เมื่อเดินมาถึงประตูก็เปิดเข้ามาได้เลย 
เข้ามาอยู่กับความเป็นพุทธะตามธรรมชาติที่แท้จริง 
แล้วอย่าลืมหันหลังไปปิดประตูบานนั้นให้สนิท 
แล้วจงลืมเรื่องการก้าวข้ามประตูและลืมเรื่องประตูนี้เสีย 
ก็ขอให้ท่านดำเนินชีวิตไปเหมือนว่า 
ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของท่านมาก่อน 
มันเสมือนเป็นการใช้ชีวิตในความเป็นหนึ่งเดียว 
กับธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มาตั้งแต่ต้น 
มันเป็นมาตั้งแต่ต้นนานแล้วอย่าไปจำอะไรกับมันเลย 
เพราะมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก็เท่านั้น
 
 
 
 
 “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
 “การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
 
 ครูสอนเซน
 อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
 | 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น