บทที่ 13 วิถีที่เรียบง่าย
โลกตามความเป็นจริง 
มิได้หมายถึงผืนแผ่นดินที่มีรูปทรงกลมและมีมหาสมุทรโดยรอบ 
แต่โลกตามความหมายแห่งตถาคตเจ้า 
คือโลกที่ถูกรับรู้ด้วยอายตนะและขันธ์ธาตุอันประกอบเป็นร่างกายขึ้น 
คือโลกในความเป็นมโนภาพในโครงสร้างแห่งความเข้าใจ 
แห่งมนุษย์ทั้งหลายตามความรับรู้แห่งตน 
ก็โดยสรรพสัตว์ทั่วไปย่อมใช้ชีวิตตามอำเภอใจ 
ดำรงชีวิตไปตามที่ใจของตนปรารถนา 
จึงเป็นความปกติที่พื้นฐานของชีวิตมนุษย์ทุกตัวตน 
ย่อมดิ้นรนแสวงหาความสุขมาปรนเปรอบำเรอให้กับชีวิตของตน 
ตามที่ตนเองตั้งความหวังเท่าที่ตนจะหวังได้อยู่ร่ำไป 
แต่ด้วยลักษณะกรรมที่ตนเองเคยประกอบทำไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา 
ด้วยความมืดมัวแต่เก่าก่อนที่เคยทำไปแบบผสมปนเป 
เป็นเนื้อหากรรมที่เป็นไปในทางความสุขบ้างความทุกข์บ้าง 
คละเคล้ากันไปตามอำนาจแห่งความมืดแห่งหัวใจตน 
ก็ด้วยการเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้มันเป็นการใช้กรรมและการสร้างกรรม 
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น 
มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะประสบแต่ความสุขแต่ฝ่ายเดียว 
ความสุขที่ได้เสพนั้น เมื่อวาระแห่งกาลเวลาที่ต้องใช้กรรมชนิดนี้หมดไป 
ด้วยเหตุผลที่ว่ามีกรรมชนิดใหม่ๆต้องเข้ามาแทนที่ 
ตามหน้าที่แห่งความเป็นไปตามระบบกรรมวิสัยนั้น 
และอีกทั้งโดยสภาพตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ 
ย่อมไม่มีสิ่งใดๆที่จะตั้งอยู่ในสภาพนั้นๆในความรู้สึกนั้น 
แบบคงที่ถาวรได้ตลอดไป เพราะธรรมชาติคือความว่างเปล่า 
ไม่อาจมีรูปทรงใดๆหรือสิ่งไหนตั้งอยู่ในสภาพของมัน 
ได้อยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปในความว่างเปล่าได้เลย 
เมื่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น 
มิใช่ปรากฏการณ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงตามธรรมชาติ 
ปรากฏการณจึงย่อมมิใช่ปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์ทั้งหลายนั้นจึงย่อมเป็นมายา 
เสมือนเป็นพยับแดดที่ระเหือดระเหยหายไป ในชั่วพริบตาแห่งความรู้สึก 
ความสุขที่ไขว่คว้าจึงมิได้มีความจีรังยั่งยืนแต่อย่างใด 
แต่เมื่อเหตุและผลตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาตินี้ 
ถูกกลบไปด้วยความรู้สึกที่ยึดมั่นบนพื้นฐานแห่งความไม่เข้าใจ 
สรรพสัตว์ในคราบมนุษย์ทั้งหลาย 
จึงดำเนินชีวิตของตนไปในบรรดาความรู้สึกต่างๆที่ตนเองเคยชิน 
เป็นความเคยชินในความชอบที่หมกอยู่ในกมลสันดานแห่งจิตตน 
ความเคยชินที่เป็นความสั่งสมแบบแนบแน่น ชนิดที่เรียกว่า เราคือมัน 
มันคือเรา ก็จะพาให้เรากลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกแห่งมายาในสามภพ คือ มนุษย์
 สวรรค์ นรก ความแนบแน่นดังกล่าวก็จะดลบันดาลด้วยอำนาจแห่งมัน 
พาเราไปเวียนว่ายตายเกิดในภพในเรือนทั้งสามนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แท้
จริงความเป็นเราย่อมไม่มี แท้จริงความเป็นขันธ์ธาตุย่อมไม่มี 
ขันธ์ธาตุนั้นโดยตัวมันเองย่อมเป็นความว่างเปล่า 
ไม่มีอะไรที่จะเข้าไปยึดถือจนก่อให้เกิดความเป็นตัวตนได้ 
ความเป็นจริงไม่เคยมีขันธ์ธาตุเกิดขึ้นมาก่อน 
หากกล่าวว่ามีขันธ์ธาตุเกิดขึ้น 
มันก็เป็นการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ธาตุด้วยความมีโมหะแห่งเราเอง 
จึงปรากฏความเป็นขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 
เกิดขึ้นในความรับรู้ และยึดเอาขันธ์ธาตุนั้นคือเรา 
มีความหมายในความเป็นตัวเป็นตนแห่งเรา 
เพราะความเข้าไปยึดด้วยเหตุแห่งอวิชชาความไม่รู้ 
แต่ด้วยความเป็นจริงขันธ์ธาตุที่เราเข้าไปอาศัยและยึดมั่นถือมั่นมัน 
มันมีความเสื่อมโทรมมีความแก่ชรา มีความแปรเปลี่ยนไปในรูปทรงของมัน 
แปรเปลี่ยนไปในลักษณะที่จะพลัดพรากจากไป 
ด้วยความคงตัวรูปทรงเดิมของมันเอาไว้ไม่ได้ ขันธ์ธาตุหรือกายนี้ 
จึงเปรียบประดุจเรือนที่เราได้พักพิงอาศัยชั่วคราว 
ความแปรปรวนของมันเปรียบเสมือนเรือนที่กำลังถูกไฟไหม้ 
ให้สูญสลายมอดหายไปในทุกกาลเวลานาที เมื่อถึงเวลาที่ต้องอำลาจากกันไป 
ขันธ์ธาตุที่มาประชุมกันเป็นรูปกายเราเป็นอวัยวะต่างๆ 
มันก็พร้อมทำหน้าที่แห่งมัน เป็นหน้าที่ที่ต้องแยกย้ายสลายออกจากกัน 
ไปสู่ความเป็นธาตุเดิมของมัน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้กระทั่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ 
ก็ย่อมสลายหายไปอีกเช่นกันหามีตัวตนไม่ 
จึงเป็นการจากไปเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง 
เป็นธรรมชาติที่คงปรากฏการณ์ "ความว่างเปล่า" 
ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน อยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว 
เมื่อความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้ 
สรรพสัตว์มนุษย์ผู้มืดบอดและไม่ยอมเข้าใจในกฎธรรมชาตินั้น 
จึงเอาความเคยชินซึ่งเป็นความทะยานอยากแห่งตน 
วิ่งไล่จับคว้าเงาของตนเองในความมืดอยู่อย่างนั้น 
เมื่อทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มีตัวตนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว การได้มาหรือการจากไป 
บนพื้นฐานความรู้สึกนั้นๆในความยึดมั่น 
จึงย่อมเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่าและหาสาระอะไรไม่ได้เลย
เพราะ
ธรรมชาติคือความเป็นจริงที่ไม่ซับซ้อน เป็นความเรียบง่ายในวิถีแห่งมัน 
ในความว่างเปล่าไร้ตัวตน สรรพสัตว์ทั้งหลาย 
จงละทิ้งความซับซ้อนยุ่งเหยิงและความเหนื่อยหน่าย 
แห่งความมีความเป็นที่นำพาชีวิตของสรรพสัตว์ 
ให้โลดแล่นไปตามความทะยานอยากทั้งหลายเสีย 
แล้วหันหน้ามาทำความเข้าใจกับความจริงให้ตรงต่อความเป็นธรรมชาติ 
ซึ่งมันเป็นเหตุและผล แบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนในความเป็นจริงแห่งตัวมันเอง 
แล้วธรรมชาตินั้น ก็จะพาท่านดำรงชีวิตไปบนวิถีที่เรียบง่ายแห่งมัน 
แต่ความเรียบง่ายนี้กลับเป็นความสุขที่ยืนยาวอย่างแท้จริง 
ตราบชั่วนิจนิรันดรในอมตธรรมนั้น
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
ครูสอนเซน 
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น